'เคอร์ฟิว' กระทบชาวเชียงใหม่

หลังจากที่รัฐบาลได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในที่เขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ห้ามบุคคลทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็นหรือเป็นผู้ปฏิบัติงานเฉพาะด้าน และมีความจำเป็นจะต้องปฏิบัติงานตามข้อกำหนดประกอบหรือคำสั่งต่างๆ ของทางราชการ หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่

หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งเป็นมาตรการความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติได้โดยเร็ว ขณะที่ทางจังหวัดเชียงใหม่ ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ยุติโดยเร็ว จึงใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน และหากพบผู้กระทำการฝ่าฝืนก็จะต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายวิรัช ไวยมาลี เจ้าของร้านข้างขาหมูมีชัย อ.เมือง เชียงใหม่ เปิดเผยว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินห้ามออกจากที่พักเวลา 22.00 -04.00 น. ส่วนตัวมองว่าไม่มีผลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่ในเรื่องการใช้ชีวิตของแต่ละคนอาจส่งผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องทำงานหลัง 22.00 น. ไป แต่การประกาศเคอร์ฟิวมาในช่วงนี้ ไม่ทราบเป้าหมายของรัฐบาลว่าต้องการอะไร มีความแตกต่างกันอย่างไรระหว่างเคอร์ฟิว กับไม่เคอร์ฟิว หากต้องการให้เชื้อยุติการแพร่กระจายคงไม่ใช่ เพราะเชื้อไม่ได้หยุดแพร่กระจายแม้ช่วงกลางคืน

หากมีการขยายเวลาในการประกาศเคอร์ฟิว คาดว่าจะมีคนได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลจะมีมาตรการมารองรับไม่ให้คนออกมาจากบ้านได้อย่างไร การใช้ชีวิตการกิน อยู่ได้เตรียมมาตรการไว้หรือยัง มาตรการที่จะรองรับคนที่ต้องการขาดรายได้จากการค้าขายมีหรือไม่ ซึ่งคนที่ไม่มีความสามารถดูแลตัวเองได้จะทำอย่างไร มีใครเข้าไปดูแลมั๊ย ในส่วนตัวไม่มีผลกระทบอะไรหากจะมีการยกระดับขยายเวลาเคอร์ฟิว แต่คนที่จะได้รับผลกระทบเชื่อว่าจะมีอยู่มาก

น.ส.มยุรีย์ วงค์จันทร์น้อย ชาวเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้รับผกระทบมาตั้งแต่ก่อรประกาศเคอร์ฟิว เพราะต้องหยุดงานขาดรายได้ การประกาศเคอร์ฟิวยิ่งได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่สามารถออกไปไหนได้หลัง 22.00 น. ที่บางครั้งต้องออกไปทำธุระหลัง 22.00 น. หากมีการยกระดับขยายเวลาเคอร์ฟิว ก็ต้องยอมรับ เพราะต้องการให้การแพร่เชื้อโรคยุติลง หากทุกคนช่วยกันให้ความร่วมมือเชื่อว่าจะสามารถหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้