ครั้งหนึ่งในชีวิต นครศักดิ์สิทธิ์ ‘เยรูซาเล็ม’

ครั้งหนึ่งในชีวิต นครศักดิ์สิทธิ์ ‘เยรูซาเล็ม’

ลืมภาพร้ายและความหวาดกลัวไปก่อน แล้วคุณจะเห็นเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในนครที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความงามบนความต่างทางวัฒนธรรมแห่งนี้

ผมเป็นคนชอบดูหนังมาก ถึงขนาดทุกวันถ้าอยู่บ้าน หลังอาหารเย็นจะต้องดูหนังอย่างน้อย 1 เรื่อง เพราะเนื้อหาของมันสอนอะไรให้ผมหลายอย่าง และหนึ่งในหนังฝรั่งที่ผมชอบที่สุดคือ Kingdom of Heaven เป็นหนังประวัติศาสตร์ย้อนไปไกลถึงยุคสงครามครูเสด ที่อัศวินนักรบของคริสตจักรจากยุโรป เข้ายึดนครเยรูซาเล็มของอิสราเอลไว้ได้โดยสมบูรณ์ และมีฉากการทำสงครามยึดเมืองอันยิ่งใหญ่อลังการ ระหว่างชาวคริสต์ที่ป้องกันเยรูซาเล็ม กับซาลาดินกษัตริย์ผู้เกรียงไกรจากเปอร์เซีย 

ตลอดเวลากว่า 4,500 ปีที่ผ่านมา นครเยรูซาเล็มจึงกลายเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และศูนย์รวมศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ต้นกำเนิด 3 ศาสนาสำคัญของโลก ทั้งคริสต์ ยูดาห์ (ยิว) และอิสลาม ซึ่งปัจจุบันหากใครได้ไปเยือนเขตเมืองเก่าเยรูซาเล็ม ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโบราณนี้ และนี่คือ ‘เยรูซาเล็ม’ นครศักดิ์สิทธิ์ Kingdom of Heaven

Jerusalem (25)

กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อร่างสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ดาวิด (King David) และเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับ 3 ศาสนาสำคัญดังที่กล่าวไปแล้ว ทำให้เมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศอันแตกต่างทั้งในแง่ความเชื่อและความศรัทธา แต่ก็ยังคงอบอวลด้วยมนต์เสน่ห์ของความงดงามและมนต์ขลัง โดยในเขตเมืองเก่าแบ่งออกเป็น 4 ย่าน ได้แก่ ย่านชาวอาร์เมเนีย (Armenian Quarter) ย่านชุมชนชาวยิว (Jewish Quarter) ย่านชาวคริสเตียน (Christian Quarter) และย่านชาวมุสลิม (Muslim Quarter) แต่ละย่านก็มีสถานที่ท่องเที่ยวให้เดินชมกันมากมาย และการจะท่องเที่ยวในแต่ละย่านนั้นผมขอแนะนำว่าใช้วิธีเดินจะดีที่สุด ผ่านเข้าออกทางประตูเมืองเก่า ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมีอยู่มากถึง 12 ประตู แต่ปัจจุบันเปิดใช้งานเพียงแค่ 8 ประตู

Jerusalem (16)

เยรูซาเล็มเป็นเมืองใหญ่ มีทั้งย่านเมืองเก่าและเมืองใหม่ เราสามารถชมขึ้นไปยัง เนินเขามะกอก (The Mount of Olieves) ทางด้านตะวันออกของเมือง เพื่อชมทัศนียภาพของเยรูซาเล็ม ให้เต็มตาแบบพาโนรามาได้เลย อีกทั้งเนินเขามะกอกนี้ยังเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งยวดของพระเยซู โดยในสมัยโบราณเชื่อว่าเป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยต้นมะกอกอยู่ดาษดื่น แต่มีการตัดเอาไม้ไปใช้อยู่เรื่อย จนกระทั่งไม่เหลือต้นมะกอกให้เห็น แต่กลายเป็นที่ตั้งของโบสถ์และวิหารมากมาย เพราะเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา 

จากด้านบนจะมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของย่านเมืองเก่าอย่างชัดเจน และเมื่อเดินลงมาตามทางเดินเลาะเนินเขาลาดลงเรื่อยๆ จะผ่านสุสานเก่าแก่ของชาวยิว กระทั่งมาถึง ‘The Sanctuary of Gethsemane’ สวนมะกอก 8 ต้นแห่งแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูอธิษฐานกับเหล่าสาวก ภายในสวนมีต้นมะกอกเก่าแก่อายุกว่าพันปี ที่เพาะรากเดิมมาจากต้นมะกอกในสมัยพระเยซู ใกล้กับสวนยังเป็นที่ตั้งของ The Basilica of the Agony มหาวิหารที่สร้างครอบก้อนหินที่พระเยซูทรงประทับภาวนาก่อนจะถูกทหารโรมันจับตัวไปตรึงกางเขน!

Jerusalem (11)

จากมหาวิหาร ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามจะมองเห็น 'Golden Gate’ ถูกปิดตายอยู่ด้านบน เดินเลาะตามถนนไปจนถึง ‘Lion Gate’ ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ประตูเมืองเก่าที่ยังเปิดให้ใช้งานอยู่ ก่อนจะเริ่มต้นเดินบนถนนศักดิ์สิทธิ์ ‘Via Dolorosa’ หรือ ‘Way of sorrow’ อันหมายถึง ‘ถนนแห่งความโศกเศร้า’ เพราะเชื่อว่าในอดีตถนนสายเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวเพียง 600 เมตรนี้ เป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิตพระเยซู ขณะทรงเดินไปถูกตรึงกางเขน! อีกทั้งเป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตั้งข้อกล่าวข้อหาและตัดสินโทษประหารชีวิต จากนั้นพระองค์ต้องแบกไม้กางเขนอย่างทุลักทุเลไปตามถนนสายนี้สู่แดนประหาร ซึ่งระหว่างทางมีเหตุการณ์ต่างๆ บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หลายเรื่อง รวมทั้งหมด 14 จุด (Stations) 

เช่น จุดที่พระองค์หกล้ม จุดที่พบกับพระมารดา และสิ้นสุดตรงจุดที่ทรงถูกตรึงบนกางเขนจนสิ้นพระชนม์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Church of the Holy Sepulchre ภายในวิหารค่อนข้างซับซ้อน เพราะประกอบด้วยวิหารน้อยใหญ่อยู่ในนั้นอีกหลายแห่ง แบ่งส่วนการครอบครองเป็นของคริสตชนหลายนิกาย ไม่ว่าจะเป็น กรีกออร์ธอด็อกซ์ อาร์เมเนียนอาโปสโตลิก โรมันคาทอลิก เอธิโอเปียนออร์ธอด็อกซ์ ซีเรียนออร์ธอด็อกซ์ และคอปติกส์ออร์ธอด็อกซ์ โดยเป็นจุดที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ จากนั้นก็มีการนำพระศพลงมาวางไว้บนแผ่นหินขนาดใหญ่ คริสต์ศาสนิกชนที่เดินทางมาเยือนจะพากันสัมผัส เอาหน้าผากแตะ และจูบลงบนแท่นหินด้วยความอาลัยสุดหัวใจ

เชื่อกันว่าด้านในสุดของมหาวิหารเป็นหลุมฝังพระศพของพระเยซู ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยกุญแจพระวิหารอยู่ในการครอบครองของครอบครัวหนึ่งจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน ประตูวิหารจะเปิดเวลา 07.00 น. และปิดเวลา 20.00 น. ทุกวัน

Jerusalem (23)

ไกด์ท้องถิ่นพาผมเดินลัดเลาะมายังย่านชาวอาร์เมเนีย เพื่อชม Chamber of the Last Supper ตั้งอยู่ภายในอาคารบน Mt. Zion ใกล้กับที่ตั้งของ Dormition Abbey โดยทุกวันนี้ภายในเป็นห้องว่างเปล่า เชื่อกันว่าก่อนพระเยซูจะสิ้นพระชนม์ ทรงปรารถนาที่จะรับประทานอาหารค่ำกับเหล่าอัครสาวกเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับทรงมอบบัญญัติใหม่แห่งความรักให้ ภาพวาด The Last Supper ของลีโอนาโด ดาวินชี ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์นี้นี่เอง ซึ่งในภาพเราจะเห็นว่ามี แมรี่ แม็กดาลีน อยู่ด้วย เพราะเธอคนนี้เองคือสาวกสตรีผู้ติดตามพระเยซูไปทุกหนแห่งในการประกาศศาสนาคริสต์ยุคนั้น

Jerusalem (28)

ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะจางหายไป ผมเดินลัดเลาะมายังย่านชุมชนชาวยิว ที่มีการตรวจตราค่อนข้างเข้มงวด เพราะเป็นย่านที่เชื่อมต่อกับย่านของชาวมุสลิม อันเป็นที่ตั้งของ The Wailing Wall หรือกำแพงทางตะวันตก (Western Wall) แต่ถ้าพูดว่า ‘กำแพงร้องไห้’ หลายคนอาจจะร้อง อ๋อ! นี่คือแนวกำแพงเมืองเก่าอันสูงใหญ่ทางตะวันตกของเนินพระวิหาร หรือ ภูเขาโมไรยาห์ (Mount Moriah) ชาวยิวเชื่อว่าเป็นสถานที่สำคัญและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง เพราะเป็นสัญลักษณ์การหวนคืนสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของชาวอิสราเอล ที่พระยะโฮวาห์ทรงตรัสไว้นั่นเอง

แนวกำแพงอันสูงใหญ่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง แยกชายหญิงออกจากกันระหว่างการสวดภาวนา ขอพร และร้องไห้กับกำแพง นอกจากนี้ชาวยิวเชื่อว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุดในโลก พระองค์จะคอยสดับตรับฟังคำขอของผู้ที่มาอ้อนวอนทุกคนอย่างเท่าเทียม นอกจากจะสวดมนต์แล้ว ยังนิยมเขียนคำอธิษฐานหรือระบายความทุกข์ใจใส่ในกระดาษ แล้วสอดเข้าไปตามรูเล็กๆ บนกำแพง เพื่อให้สารนั้นส่งถึงพระเจ้าโดยตรง หลังจากสอดคำอธิษฐานแล้วจะต้องเดินถอยหลังออกจากกำแพง ไม่หันหลังให้กำแพงเด็ดขาด นี่คือธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานานหลายชั่วอายุคน

ถัดจากแนวกำแพงด้านตะวันตก ก็ถึงส่วนของชุมชนชาวมุสลิมอันเป็นที่ตั้งของ Dome of the Rock หรือโดมทองแห่งเยรูซาเลม อันเป็นศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม และกลายเป็น Landmark สำคัญของนักท่องเที่ยว ที่ชอบถ่ายภาพโดมทองคำขนาดยักษ์นี้ไว้อวด หรือแชร์ผ่านโลกออนไลน์กันด้วย

ผมพบว่าทุกย่างก้าวที่อยู่ในนครอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ดูเหมือนว่าผมได้ย้อนกลับไปในอดีตหลายพันปีก่อน เสียงสวดมนต์ของนักแสวงบุญนับพันคน เสียงระฆังดังก้อง เสียงร้องเรียกผ่านลำโพงให้ผู้คนเข้าไปทำละหมาด หรือแม้แต่เสียงฝีเท้าบนพื้นทางเดินหินที่สะท้อนขึ้นไปยังโดมเพดานเหนือหัว มันก้องสะท้อนไปมา สร้างความขรึมขลังให้บรรยากาศในเยรูซาเล็มได้อย่างประหลาด หน้าตาของผู้คน เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ เครื่องลางและคัมภีร์ที่พวกเขาถืออยู่ในมือ กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นอาหาร และแดดอ่อนๆ ยามบ่ายที่ส่องลอดลงมา สร้างเงาทอดทาบไปบนพื้นและกำแพงหิน 

นี่คือนครศักดิ์สิทธิ์ที่โลกไม่เคยลืมอย่างแท้จริง Kingdom of Heaven