ว่ายน้ำกับ 'ฉลามวาฬ' ยักษ์ใหญ่ในโลกสีครามแห่ง 'ฟิลิปปินส์'
เปิดประสบการณ์สุดประทับใจ กับครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้แหวกว่ายเคียงคู่ "ฉลามวาฬ" ณ หมู่บ้านชาวประมงออสลอบ เกาะเซบู "ฟิลิปปินส์" ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถใกล้ชิดกับยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลได้โดยไม่ต้องรอโชคช่วย!
จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตกันนะ ที่คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา จะได้มีโอกาสลงไปแหวกว่ายอยู่ในท้องทะเลสีครามจริงๆ และเผชิญหน้ากับปลาขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง 'ฉลามวาฬ' ด้วยตัวเราเอง จะว่าไปแล้วโอกาสอย่างที่ว่านี้คงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่ว่ายน้ำหรือดำน้ำทะเลไม่เป็น แต่เชื่อเถอะว่าโลกนี้ยังมีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์รอให้เราสัมผัสเสมอ
เชื่อหรือไม่ว่ามีชาวประมงกลุ่มหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ ทำอาชีพประมงจับปลาในทะเลขาย ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้ไปชมเจ้ายักษ์ใหญ่ในดีนาม ‘ฉลามวาฬ’ (Whale Shark) ด้วยการเลี้ยงพวกมันไว้จนเชื่อง ให้อาหารที่พวกมันชอบจนมันติดใจ พากันแหวกว่ายเข้ามาหาทุกวัน และนี่คือจุดเริ่มต้นการเดินทางผจญภัยครั้งใหม่ของผม ซึ่งทำให้ผมต้องรอแรมยาวไกลจากเมืองไทยไปสู่ดินแดน 7,600 เกาะ ที่ชื่อว่า ฟิลิปปินส์
ฟิลิปปินส์เป็นดินแดนแห่งหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก แถมยังมีเหวทะเลลึกที่สุดในโลกนามว่า มาเรียน่า เทรนซ์ (Mariana Trench) ลึกกว่า 11,000 เมตร อยู่ด้วย
ท้องทะเลสีครามของฟิลิปปินส์จึงอุดมด้วยสรรพชีวิตน้อยใหญ่ ทั้งเหล่าปลาและปะการังนับหมื่นชนิด นักดำน้ำ นักสำรวจ นักธรรมชาติวิทยา และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พากันมาเยือนดินแดนนี้กันทุกปี โดยหนึ่งในจำนวนนั้นคือคนที่มุ่งหน้ามาด้วยความหวังว่า จะได้ชมหรือว่ายน้ำกับปลาใหญ่ที่สุดในโลกอย่างฉลามวาฬกันสักครั้ง
ซึ่งแม้ว่าในเมืองไทยของเราจะมีปลาฉลามวาฬอยู่เช่นกันในฝั่งทะเลอันดามัน แต่ก็ใช่ว่าจะพบเห็นได้ง่ายนัก เพราะเราต้องนั่งเรืออกไปในเกาะบางแห่งของอุทยานแห่งชาติทางทะเล และก็ชมได้เพียงบางฤดูกาลเท่านั้น โดยปลาฉลามวาฬมักจะปรากฏตัวให้เห็น เพราะพวกมันว่ายน้ำตามเข้ามากินฝูงกุ้งเคย (Krill) ซะเป็นส่วนใหญ่
น่าตลกนะครับ ที่ปลาใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับกินกุ้งเคยตัวจิ๋วเป็นอาหาร ด้วยการกินแล้วกรองน้ำทะเลทิ้งออกไปผ่านช่องเหงือกด้านข้างหัวของมัน ฉลามวาฬจึงมีส่วนช่วยรักษาสมดุลแห่งท้องทะเล และเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของห่วงโซ่อาหารแห่งห้วงสมุทรด้วยครับ
โชคดีที่ผมเป็นคนรักทะเลเป็นชีวิตจิตใจ และพอจะออกเรือไปดำน้ำตื้นโดยไม่เมาเรือ ทริปนี้เลยแค่ฟิตร่างกายนิดหน่อย กับเตรียมชุดว่ายน้ำแบบ Wet Suit แขนยาวขายาวเอาไว้ไปดำน้ำกับฉลามวาฬให้สมใจ
ผมบินจากไทยไปลงที่กรุงมะนิลา (Manila) เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ แล้วบินต่อไปยังเกาะเซบู (Cebu) อันเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะทางตอนกลางของประเทศ
ทริปนี้เราขอละเรื่องประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจของเซบูไว้ก่อน แต่จะนั่งรถลงไปทางด้านตะวันออกเกือบใต้สุดของเกาะ จนถึงเมืองออสลอบ (Oslob) ซึ่งมีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ชื่อ ทานาวัน (Tanawan Village) เป็นหมู่บ้านประมงดั้งเดิมของเซบู ที่วันนี้ได้พัฒนาตัวเองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ Eco-tourism นำผู้คนนั่งเรือประมงลำน้อยออกไปลอยลำสัมผัสยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเลอย่างใกล้ชิดสุดๆ
แถบหมู่บ้านทานาวันมีที่พักหลายระดับราคาให้เลือก ผมเลยไปเช็คอินเข้าที่พักก่อน พร้อมกับติดต่อการออกไปดูฉลามวาฬกับชาวประมงไว้ล่วงหน้า สัมผัสแรกของทานาวันคือไอแดดแผดกล้า ลมทะเลพัดโชย ใบมะพร้าวโอนเอนล้อลม หาดทรายสีขาว และน้ำทะเลสีครามเข้มข้นสะอาดตาของฝั่งแปซิฟิก บวกกับบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบสงบ ทำให้การมาเยือนทานาวันกลายเป็นสวรรค์เล็กๆ สำหรับคนรักธรรมชาติและทะเลอย่างผมไปเลย
โชคดีวันนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะล่องเรือออกไปดูฉลามวาฬไม่มากนัก เรือที่เราจะนั่งออกไปในทะเล เป็นเรือประมงพื้นบ้านแบบฟิลิปปินส์แท้ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นเรือขาแมงมุม ที่มีขาไม้ไผ่ยื่นยาวออกไปสองด้านจากกราบเรือ คล้ายปีกเครื่องบิน ทำให้เรือไม้เล็กๆ ชนิดนี้สามารถโต้คลื่นและมีความสมดุลในตัวเองอย่างมาก
เรือลำหนึ่งให้นักท่องเที่ยวนั่งได้ไม่เกิน 4 คน โดยมีชาวบ้านพายให้หนึ่งคนที่หัวและหนึ่งคนตรงท้ายเรือ เราเพียงใส่เสื้อชูชีพแล้วนั่งชิลชิลเท่านั้น ที่เหลือจะเป็นหน้าที่ของกัปตันแล้วล่ะ แต่เขาก็การันตีเลยว่าจะได้เห็นฉลามวาฬทุกคนอย่างแน่นอน
การท่องเที่ยวชมฉลามวาฬที่ ‘ออสลอบ’ หรือทานาวัน นี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 โดยชาวประมงได้พยายามเลี้ยงฉลามวาฬด้วยการโปรยกุ้งเคยให้กินทุกวัน จนพวกมันติดใจและชินกับการเผชิญหน้ากับมนุษย์ในระยะใกล้ ช่วงเวลาที่ป้อนกุ้งเคยคือตั้งแต่เวลา 05.00 หรือ 06.00 น. ถึง 13.00 น. ในแต่ละวัน จากนั้นฉลามวาฬก็จะว่ายออกสู่ทะเลลึกเพื่อหากินเอง ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าด้วยวิธีนี้จะไม่ทำให้พฤติกรรมของฉลามวาฬเปลี่ยนไป
แต่ก่อนเราออกเรือไปนั้น เขาก็จะมีการเน้นย้ำให้ฟังว่ากิจกรรมนี้มีข้อกำหนดหรือข้อห้ามอะไรบ้าง เช่น ห้ามสัมผัสตัวฉลามวาฬ, การลงดำน้ำกับฉลามวาฬแต่ละครั้ง ให้มีนักดำน้ำได้ไม่เกิน 6 คน/ฉลามวาฬ 1 ตัว, เรือนักท่องเที่ยวห้ามให้อาหารฉลามวาฬ, ห้ามทิ้งขยะลงในทะเล เพื่อป้องกันฉลามวาฬกินโดยไม่ตั้งใจ, ห้ามถ่ายภาพใช้ไฟแฟลช และต้องอยู่ห่างจากฉลามวาฬอย่างน้อย 4 เมตร เป็นต้น
ท่ามกลางท้องทะเลสีครามในยามแดดเจิดจ้าของสายวันนั้น ผมได้นั่งเรือขาแมงมุมของชาวบ้าน ฝ่าคลื่นสีครามท่ามกลางท้องทะเลเงียบสงบ ห่างออกมาจากชายหาดหมู่บ้านทานาวันเพียง 10 กว่านาทีเท่านั้น พลันก็มีร่างสีเทาขนาดมหึมาแหวกว่ายตรงเข้ามาวนเวียนอยู่รอบเรือของเรา ทีแรกมันมาแค่ตัวเดียว แล้วต่อมาก็เพิ่มเป็นสอง ทำให้หัวใจของผมเต้มตูมตามและพองโตด้วยความตื่นเต้นดีใจ พลันมันก็ว่ายขึ้นมาเรี่ยผิวน้ำ ลอยตัวอยู่ใกล้ลำเรือจนเหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ทำให้เราสามารถเห็นส่วนหัวอันใหญ่โตของมันได้ชัดเจน บวกกับลายจุดสีขาวบนลำตัวพื้นสีเทาของมันนั้นก็ช่างเด่นชัด
ว่ากันว่าลายจุดเหล่านี้ช่วยพรางแสงให้มันกลืนไปกับคลื่นน้ำได้เป็นอย่างดี นักชีววิทยาบอกว่าฉลามวาฬเมื่อโตเต็มวัยสามารถยาวได้เกือบ 13 เมตร หนักได้กว่า 21 ตัน และมีอายุยืนไม่น้อยกว่า 70 ปีเลยล่ะ
ชาวฟิลิปปินส์เรียกฉลามวาฬว่า 'Butanding' ส่วนชาวเกาะชวาของอินโดนีเซียเรียกมันว่า 'Geger Lintang' แปลว่า 'มีดาวอยู่บนหลัง' ก็เพราะลวดลายจุดขาวมากมายเหล่านั้นนั่นเอง
เมื่อกัปตันส่งสัญญาณ เราก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงไปใต้น้ำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ฉลามวาฬตกใจ โดยเราไม่ได้ว่ายน้ำห่างออกจากตัวเรือมากนัก เพราะเรามีแค่อุปกรณ์ดำน้ำตื้นพื้นฐาน คือตีนกบ แว่นตาดำน้ำ และท่อหายใจสนอร์เกิล เท่านั้น
ส่วนเรือลำอื่นที่นักท่องเที่ยวมีอุปกรณ์ดำน้ำลึกแบบ SCUBA ก็สามารถลงไปแหวกว่ายดำน้ำกับฉลามวาฬได้ลึกนับสิบเมตร แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เจ้ายักษ์ใหญ่ใจดีเพื่อนของเราจะแฮปปี้กับการลอยตัวอยู่ใกล้ผิวน้ำ เพื่อรอกินกุ้งเคยที่ชาวประมงจะนำออกมาโปรยให้มากกว่า เราจึงมีโอกาสได้เห็นมันแหวกว่ายอยู่ในทะเลสีครามจริงๆ ด้วยตาของเราเอง ในระยะประชิดอย่างเหลือเชื่อ
ออสลอบจึงโด่งดังไปทั่วโลกในฐานะแหล่งชมฉลามวาฬได้ง่ายที่สุดในโลกไปโดยปริยาย โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน ซึ่งบริเวณชายฝั่งออสลอบจะมีกระแสน้ำอุ่นดี และยังมีกุ้งเคยตัวเล็กๆ อยู่มากมายมหาศาล ให้มันจับกินได้อย่างมีความสุข เพื่อดำรงชีพ เติบโต และสืบเผ่าดำรงพันธุ์ต่อไป
เจ้าฉลามวาฬทั้งสองแหวกว่ายสะบัดหางดำดิ่งลงสู่ห้วงความลึกสุดหยั่งสีครามเบื้องล่างไปแล้ว โดยทิ้งเราไว้บนผิวน้ำตื้น พร้อมกับภาพจำสุดประทับใจ
ผมได้แต่หวังว่าขอให้มันโชคดี มีชีวิตยืนยาวและอยู่ต่อเติมความงามของดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ไปอีกนานแสนนาน