"ถึงจะเป็นหนี้ มีคนเรียนน้อย ก็ยังอยากสอนภาษา" สงวน วงศ์สุชาต

"ถึงจะเป็นหนี้ มีคนเรียนน้อย ก็ยังอยากสอนภาษา" สงวน วงศ์สุชาต

เคยนั่งนับเงินจนเมื่อยมือ แต่วันนี้มีหนี้สินมากมาย จนภรรยาต้องเตือนว่า "อย่าฆ่าตัวตายนะ" และไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน "อาจารย์สงวน วงศ์สุชาต" ก็ยังรักการสอน ชอบค้นคว้า ยังหาข้อสอบมาทำทุกวัน

กว่า 50 ปี ที่เขาช่วยเก็งข้อสอบ สอนภาษาอังกฤษให้คนไทยทั้งประเทศ จนเป็นที่ยอมรับของนักเรียน นักศึกษา หากใครมีโอกาสเรียนกับอาจารย์สงวน วงศ์สุชาต ถ้าไม่ขี้เกียจเกินไป ก็จะมีความรู้ทางภาษาที่แตกฉาน โดยเฉพาะคำศัพท์ และแกรมม่า ฯลฯ จนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถ้าจะสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศ ก็ไม่เป็นรองใคร

อาจารย์สงวน เปิดโรงเรียนเสริมหลักสูตร (SLS)สอนภาษาอังกฤษทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัย รวมถึงคนที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศ ช่วงหลายสิบปีที่แล้วเฟื่องฟูมาก แต่เมื่อ 15 ปีที่แล้วคนเรียนค่อยๆ ลดลง และล่าสุดมีคนเรียนแค่ 2-3 คน จนกระทั่งไม่มีนักเรียน

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ นั่งนับเงินแทบไม่ไหวจากธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา จนต้องขยายสาขาไปต่างจังหวัด เพิ่มอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ดีที่สุด โดยใช้เงินทุนมากมาย ประกอบกับชอบทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือผู้คน ตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักล้าน

เวลาทำบุญ ทำทาน หรือช่วยเหลือคนมีหนี้สิน เขาจะไม่คิดอะไรมาก พร้อมที่จะให้ แต่ปัจจุบันเขากลายเป็นคนมีหนี้กว่า 10 ล้านบาท ต้องประกาศขายตึกโรงเรียนเสริมหลักสูตร ย่านเสาชิงช้า โดยตั้งราคาไว้ที่ 80 ล้านบาท (ราคาต่อรองได้) ส่วนโรงเรียนเสริมหลักสูตรอาจารย์สงวน วงศ์สุชาต ย่านบางเขน พหลโยธิน 40 ยังเก็บไว้

หากไม่ได้มองแค่เรื่องเงินๆ ทองๆ และหนี้สิน คนที่เรียนกับอาจารย์สงวน ต่างรู้ดีว่า เขามีความเป็นครูสูงมาก ค้นคว้าและเตรียมการสอนอย่างดี เขารู้เทคนิคที่จะทำให้คนเรียนไม่เก่ง เข้าใจการใช้ภาษาและคำศัพท์มากขึ้น  

เขายอมรับว่า รายได้น้อยลงตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว และตกฮวบในช่วงโควิดระบาด จนกระทั่งต้องเปิดสอนออนไลน์

“จากที่เคยมีคนมานั่งเรียนเต็มห้องเป็นพันๆ คนตอนนี้เหลือ 2-3 คน จึงต้องปรับไปอยู่ในออนไลน์ ผมมีหนี้ด้วย ทุกข์มาก ตอนนี้ทองสร้อย ยังอยู่ในโรงรับจำนำ พอเป็นหนี้เยอะๆ ภรรยาบอกว่าอย่าฆ่าตัวตายนะ เธอเตือนผมเป็นระยะ ผมได้สร้างความทุกข์ให้ครอบครัว”

159774571217

ความทุกข์ของคนมีหนี้

ปกติผมเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบให้สัมภาษณ์ คนก็นึกว่าหยิ่ง แต่ตอนนี้จำเป็นแล้ว ปกติเวลาคุยกับใคร สมองจะเบลอๆ แต่ถ้าทำงานวิชาการ15 ชั่วโมงก็ทำได้ เมื่อก่อนเพื่อนฝูงนัดสังสรรค์ ผมไม่ค่อยไป เพราะผมต้องเตรียมการสอน

ในช่วง 50 ปีที่ผมสอนภาษา ผมไม่ได้คิดเรื่องเมด มันนี่อย่างเดียว เรื่องเงินอยู่อันดับท้ายๆ สมัยรุ่งเรืองมากๆ เหมือนที่ผมพูดไป ตกเย็นก็นั่งนับเงิน จนเวทนาตัวเองว่า เราทำอะไรต้องมาทำงานเหมือนพนักงานธนาคาร เวลาพระอวยพรให้ร่ำรวยๆ ผมไม่เอาแล้ว ขอมีความสุขดีกว่า

สมัยก่อนมีเงินเยอะ เจอใครก็แจก ไปร้านตัดผมเห็นคนกวาดพื้นในร้าน ควักเงินให้เลยหนึ่งหมื่นบาท ใครมีหนี้สินก็ยัดใส่มือ เคยถอนเงินแล้วชวนคนขับรถเอาเงินไปแจกคน 

บางครั้งให้จนหมดกระเป๋า มากที่สุดคือ เขียนเช็คห้าล้านบาทบริจาคให้วัด สมัยนี้พอจอดรถ ใครจะมาเปิดประตู ต้องรีบบอกว่าไม่เป็นไร เพราะไม่มีเงินให้ใครแล้ว ตอนที่ลำบากมากๆ อยากกินไก่แช่น้ำปลาครึ่งตัวในห้างฯ เดินวนอยู่หลายรอบ ในที่สุดตัดสินใจไม่ซื้อดีกว่า 

ผมเป็นหนี้ เพราะเอาเงินไปลงทุนขยายโรงเรียนกวดวิชา และผมเป็นคนใจดี แจกเงินใครได้ก็แจก เพราะเงินเข้ามาง่ายเหลือเกิน เรื่องทำบุญ เดี๋ยวก็ทำล้านหนึ่งบ้าง ห้าล้านบ้าง เริ่มเป็นหนี้ตอนอายุ 60 ตอนนั้นเอาบัตรเครดิตไปเบิกเงินล่วงหน้า เสียดอกเบี้ยอีก ตั้งแต่นั้นก็ลุ่มๆ ดอนๆ และคงไม่มีใครกล้าเตือนผม เราก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนี้เป็นหนี้ราวๆ 10 ล้านบาท ถ้าขายตึกได้ก็ปลดหนี้ได้ แต่ไม่ง่าย

ตอนนี้มีพนักงานเหลือแค่สองคน คนขับรถที่ช่วยอัพโหลดคอมพิวเตอร์ให้ด้วย กว่าจะเอาไฟล์สอนภาษาไว้ในออนไลน์ทั้งหมดได้คงปลายปี เพราะสิ่งที่ผมสอนไปมีหลายพันชั่วโมง และผมยังมีแม่บ้านที่คอยซื้อข้าว และส่งของให้คนสมัครออนไลน์ ตอนนี้มีคนสมัครเยอะขึ้นนิดหนึ่ง เพราะมีคนไปเขียนสมเพชไว้ และมีบางคนคิดว่า ผมสร้างภาพ ตอนนี้ผมยังติดค้างเงินเดือนพนักงาน จ่ายเงินไม่ครบมาสองปีแล้ว เงินชดเชยสิบเดือนยังไม่ได้ให้พนักงานเลย ค่อยๆ แบ่งปันไปเดือนละห้าพันบาท

โลกที่เปลี่ยนไป

คนรุ่นเก่าก็จะถูกแทนที่ด้วยคนรุ่นใหม่ เป็นวัฎจักรเช่นนี้ตลอดไป เหมือนยุคที่ผมเป็นคนรุ่นใหม่ ก็ทำให้ครูกวดวิชาภาษาอังกฤษรุ่นเก่าเลิกลาไปในที่สุด ที่ผ่านมาความสำเร็จในการสอนของผมมาจากการเตรียมการสอน ผมไม่ใช่คนเก่ง ผมเรียนมาจากโรงเรียนวัด ไม่เคยไปเรียนในต่างประเทศ ผมเองเริ่มจากใช้ภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ทำให้ผมเข้าใจความต้องการของลูกศิษย์ เข้าใจมุมของคนที่ไม่เก่งภาษา จึงต่างจากครูที่เก่งๆ หรือพวกฝรั่งสอนภาษา เด็กจะไม่เรียน จะอยากเรียนกับผม

หัวใจสำคัญคือ การเตรียมการสอน สมัยยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ผมเอาพจนานุกรม สารานุกรม สแกนสร้างเป็นฐานข้อมูล ใครๆ ก็บอกว่า ฐานข้อมูลดีมาก แต่ปัจจุบันนี้เทียบไม่ได้เลยกับอินเทอร์เน็ต ข้อมูลมหาศาล ถ้าคนที่ค้นคว้าเป็นจะเข้าถึงง่าย เวลาผมสอนภาษา ผมจะใช้วิธีตอกย้ำ ไม่เน้นให้นักศึกษาท่องจำ ผมไม่เห็นด้วยกับการท่องจำ จะมุ่งเน้นเรื่องความเข้าใจและเทคนิค ครูมีหน้าที่คิดเรื่องเทคนิคการสอน จะทำยังไงให้คนเรียนจำได้ ถ้าจะจำคำศัพท์ ผมบอกว่าให้คิดทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ละคนมีเทคนิคในการคิด ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ก็ใช้หลักการแบบนี้ ต้องประยุกต์เพื่อจำศัพท์

เวลาสอนเพื่อสอบ ผมเน้นให้ทำข้อสอบเยอะๆ สมัยผมเรียน ผมทำข้อสอบย้อนหลังมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ลูกศิษย์บางคนคิดว่าแค่เอาข้อสอบมาสอน แต่ผมเอามาขยายความ และเราเป็นครู เราก็ต้องรู้ว่า ข้อสอบจะออกอย่างไร

  159774392983    

ทุกวินาทีเพื่อภาษา

ผมเรียนที่วัดราชบพิต ผมเป็นเด็กที่ชอบเล่นมากกว่าเรียนหนังสือ ปกติเพื่อนๆ ก็จะเกาะกลุ่มไปว่ายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา จนมาเรียนมัธยมปีที่ 3 ปรากฎว่า เพื่อนไม่คบ มีเพื่อนคนหนึ่งมองหน้าผมแล้วมองรองเท้าเขา เขาเปรียบหน้าผมกับรองเท้า เขาเกลียดผมมาก เพราะผมเอาแต่เล่น ไม่สนใจเรียน ผมเกิดความรู้สึกว่า ถ้าไม่เรียนหนังสือ เขาก็ดูถูกเรา เกือบสายไปแล้ว เพื่อนๆ เข้าไปเรียนเตรียมอุดม เตรียมทหาร  แต่ผมยังโชคดี มีครูสอนภาษาอังกฤษคนหนึ่งสอนผมแบบทุ่มเทมาก ผมก็ยังหนีออกจากห้องเรียน จนวันหนึ่งผมไปเห็นครูนั่งหอบ ผมรู้สึกผิดเพราะครูตั้งใจสอน ตั้งแต่นั้นมาผมเรียนอยู่วิชาเดียว คือภาษาอังกฤษ วิชาอื่นผมไม่เรียน ครูคนนั้นบอกผมว่า “สงวน ไม่ว่าครูจะสอนอะไร เธอจำได้หมด” จึงเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผม ผมก็เลยสอนหนังสือด้วยสไตล์ครูคนนี้ ทุกวันนี้ผมยังกราบไหว้ครูคนนี้อยู่เลย

ผมอยากเรียนอย่างเดียวคือ ภาษาอังกฤษ  ผมก็เลยไปสมัครที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข แผนกภาษาต่างประเทศ ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าจะได้เรียนภาษาอย่างเดียว แต่ต้องเรียนวิชาอื่นด้วย ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนที่มองหน้าเราและมองรองเท้าเขา ผมก็เลยเกิดความเพียร ตัดสินใจทุ่มเทนอนวันละสี่ชั่วโมงเป็นเวลาสองปี ผมไม่ยอมเสียเวลาเลย โรงเรียนเลิกกลับบ้าน นั่งรถเมล์ก็อ่านหนังสือไปด้วย จนผมสอบได้ที่หนึ่งมัธยมปลายแผนกทั่วไปของประเทศไทย ตอนที่ไปรับรางวัล ผมรู้สึกว่าผมก็มีอะไรดีๆ เหมือนกัน แต่บางทีผมก็เห็นแก่ตัว รู้อะไรมากกว่าเพื่อน ก็ไม่ยอมบอกเพื่อน ผมก็เลยเสนอทางโรงเรียนว่า จะกลับมาติวฟรีๆ ให้รุ่นน้องโรงเรียน รอบเช้าและบ่าย รอบละสองร้อยคน

 ผมติวให้น้องๆในโรงเรียนบพิตรพิมุขสามปีในช่วงปิดเทอม จนปีที่ 4 ตั้งใจว่าจะเปิดโรงเรียนสอนเอง เพราะเมื่อ 50 ปีที่แล้ว หนังสือเฉลยข้อสอบมีผิดๆ เยอะ เราก็ทนดูไม่ไหว ในที่สุดผมอายุ 21 ปี ตอนนั้นเรียนคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ผมเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โชคดีตอนนั้นผมไปซื้อหนังสือภาษาอังกฤษสองเล่ม  New Building Word Power และ Building An Enriched Vocabulary ของ Joseph R. Orgel เป็นหนังสือที่เปิดทางให้ผมเรียนรู้คำศัพท์ อ่านแล้วเกิดสติปัญญา

 ยังจำได้ว่า ตอนที่ผมสอนหนังสือ ผมไปหาข้อสอบภาษาอังกฤษที่ศูนย์ออกข้อสอบ เมืองนิวเจอร์ซีย์ อเมริกา ผมได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ผมเข้าไปห้องๆ หนึ่ง ที่กำแพงผมเห็นชื่อ Joseph R. Orgel  หัวหน้าฝ่าย Vocabulary ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับคนแต่งหนังสือสองเล่มที่ผมซื้อมา ผมโชคดีที่ได้ตำราที่ดี คนเขียนมีคุณวุฒิ เป็นหัวหน้าแผนกออกข้อสอบ  ทำให้สอนหนังสือไม่เหมือนคนอื่น ผมได้ไอเดียจากหนังสือสองเล่มนั้น ที่ออกโดยหัวหน้าแผนกออกข้อสอบ ทุกอย่างที่เรียนรู้มา ก็นำมาขยายความ ก็ตรงกับมาตรฐานที่วางไว้

ความฝันที่เหลืออยู่

ตอนเป็นนักศึกษา ผมมีกิติศักดิ์เล่าลือว่า ไม่เข้าเรียน ที่จบออกมาได้ เพราะครูเห็นว่าเป็นตัวอย่างไม่ดี อยู่ไปเดี๋ยวคนอื่นจะเอาแบบอย่าง ก็เลยปล่อยออกมา ผมเลือกเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส เพราะตั้งใจจะเป็นนักการทูต ผมจะเข้าเรียนเฉพาะชั่วโมงแรก แล้วหายไป มาอีกครั้งวันสอบ เวลาสอบก็ทำได้ แต่ไม่อยากทำอะไรมาก เขียนให้รู้ว่า เรามีความรู้พอ ไม่อยากทำคะแนนอะไรมาก

ตอนผมอยู่ปีที่ 2 ผมจะถือกระเป๋าใบใหญ่ๆ ปรากฎว่า นักศึกษาชั้นปี 3-4 ยกมือไหว้ เขาคงคิดว่าผมเป็นอาจารย์ เพราะไม่ค่อยได้เห็นผม เนื่องจากไม่ค่อยเข้าเรียน เพราะผมไปหลงการสอนหนังสือ ทำแล้วมีความสุข ผมค้นคว้าด้วยตัวเองตลอด สมัยนั้นผมจะยืมหนังสือจากบริติช เคานซิล มานั่งศึกษา เพราะตอนเรียนหนังสือ เราไม่มีสตางค์ เวลารู้อะไรผมคิดว่า ต้องรู้ให้ลึก ปัจจุบันหนังสือเกี่ยวกับคำศัพท์มีจำหน่ายเยอะ แต่สมัยผมเรียนไม่ค่อยมี

แม้ตอนนี้ผมจะอายุ 75 ปีแล้ว ผมก็ยังหาข้อสอบภาษาอังกฤษมาทำอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้ผมต้องมานั่งทำตำราและพิมพ์หนังสือ เพราะผมต้องแก้ไขข้อมูลไปเรื่อยๆ ถ้ามีคนสมัครเรียน ผมก็ต้องทำตำราให้ ทำให้ผมไม่มีเวลาอ่านหนังสือและค้นคว้า ผมอยากกลับมาสอนหนังสือและค้นคว้า ถ้าชีวิตผมสอนหนังสืออย่างเดียว โดยไม่ต้องคำนึงถึงการดำรงชีพ แค่ให้ผมอยู่ดีกินดีนิดหนึ่ง ครอบครัวมีหลักประกัน แล้วให้ผมสร้างผลงานที่เป็นแก่นสาร ผมจะมีความสุขมาก

ผมยังมีความปรารถนาลึกๆ ผมจบจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ถ้าผมมีโอกาสวางรากฐานศัพท์ภาษาอังกฤษให้นักศึกษาเรียนในช่วงสี่ปี ผมเชื่อว่า ผมจะวางรากฐานได้แข็งแกร่ง และคงมีความสุข ผมคงไม่มีโอกาสแล้ว เพราะผมอายุมากแล้ว

ผมเคยคิดจะทำพจนานุกรม ด้านคำศัพท์ แต่ตอนนี้ในออนไลน์มีความรู้มากมายที่คนสามารถค้นหาเองได้ หลายอย่างเปลี่ยนไป ผมเอาเวลามาสอนหนังสือดีกว่า ต่อไปคนสมัคร เรียนออนไลน์ ผมจะนัดมาสอนสดๆ เรียนกับผมบ้าง