ตามหารักแท้ที่ ‘ดิลิจาน’ สวิตเซอร์แลนด์น้อยแห่ง 'อาร์เมเนีย'
"ดิลิจาน" เมืองงามท่ามกลางหุบเขาคอเคซัสแห่ง "อาร์เมเนีย" บนรอยต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป ดินแดนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอความรักของชายหนุ่มผู้ต่ำต้อยกับหญิงสาวสูงศักดิ์
ในภาวะที่ทั่วโลกยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของไวรัสโควิด-19 การเดินทางท่องเที่ยวแทบจะหยุดชะงัก และเรายังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตัวนี้ ความเครียดที่เข้าครอบงำจิตใจ ทำให้หลายคนหมดพลัง แต่เชื่อเถอะว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะต้องมีวัคซีนสู้โรคนี้ได้อย่างแน่นอน และชีวิตก็จะค่อยๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติในที่สุด
ระหว่างนี้เพื่อไม่ให้เครียดเดินไป เราลองมาเพลินไปกับแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ งามๆ ในโลกกว้างใบนี้กันดูนะครับ แม้ว่าจะยังเดินทางค่อนข้างยากในขณะนี้ แต่ก็ถือเป็นแนวทางให้เราวางแผนเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อน ทริปนี้ขอพาท่านไปเที่ยวดินแดนที่ก้ำกึ่งระหว่างเอเชียและยุโรป ซึ่งเรียกว่า ‘ยูเรเซีย’ (Eurasia) เป็นชาติแรกในโลกที่นับถือศาสนาคริสต์ อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดของการทำไวน์
จะเป็นประเทศอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก อาร์เมเนีย (Armenia) ประเทศที่มีธรรมชาติยิ่งใหญ่งดงาม ทั้งเทือกเขาหิมะสูงตระหง่าน ทุ่งดอกไม้กว้าง ทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยต์ และหมู่บ้านเล็กๆ ซุ่มซ่อนอยู่ตามชนบทอันเงียบสงบ เหมาะเดินทางไปพักร้อนนอนเล่น อาบอิ่มวัฒนธรรมงานศิลปหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกที่มีพรมแดนใกล้กับประเทศอาเซอร์ไบจานนั้น ถือว่ามีธรรมชาติงดงามมากในฤดูร้อนและใบไม้ผลิ ชมทัศนียภาพป่าสนเขียวครึ้ม และทุ่งดอกไม้หลากสีนานานพันธุ์เบ่งบานห่มคลุมไปตามท้องทุ่งกลางหุบเขา
อุทยานแห่งชาติดิลิจาน (Dilijan National Park) ถือว่ามีชื่อเสียงที่สุดในแถบนี้ เช่นเดียวกับเมืองดิลิจาน ซึ่งได้ฉายาว่า ‘สวิตเซอร์แลนน้อยแห่งอาร์เมเนีย’ ที่เรากำลังจะไปเยือนกัน ก็ถือว่าสวยงามไม่แพ้ใคร ในบรรยากาศน่ารักสุดๆ เลย
ดิลิจาน (Dilijan) เป็นเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ใกล้กับทะเลสาบเซวาน ขนาบด้วยเทือกเขาคอเคซัสน้อยอยู่ทางเหนือ หากเดินทางด้วยรถยนต์จากเยเรวาน (เมืองหลวงของอาร์เมเนีย) ระหว่างทางเราจะผ่านภูมิภาคอารากัต (Aragat Region) ซึ่งยิ่งใหญ่ด้วยภูมิทัศน์ทุ่งดอกไม้ป่าหลากสีสะพรั่งบานกว้างสุดลูกหูลูกตา โดยมียอดเขาอารากัต (Mt. Aragat) สูง 4,090 เมตร ยอดเขาสูงสุดของอาร์เมเนีย ทอดตัวอยู่อย่างสงบ ปกคลุมส่วนยอดด้วยหิมะขาวโพลน เป็นภาพที่น่าตื่นตาจริงๆ เห็นแล้วนึกว่ากำลังอยู่ในยุโรปมากกว่าเอเชียด้วยซ้ำ
แม้ดิลิจานจะเป็นเมืองน้อย แต่ก็มีชื่อเสียงมานานมากในฐานะ เมืองสปา (Spa Town) และเมืองตากอากาศสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอาร์เมเนีย เพราะแถบนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,500 เมตร อากาศเย็นสบายตลอดปี
แม้ในฤดูร้อนก็เย็นสบาย ผู้คนนิยมขับรถมานอนเล่นพักผ่อนบนภูเขา สัมผัสผืนป่าเขียวๆ แน่นขนัดของอุทยานแห่งชาติดิลิจาน ซึ่งมีกิจกรรม Outdoor ให้ทำเยอะแยะ ทั้งเดินป่าชมธรรมชาติ, ปั่นจักรยาน, ปีนเขา, ดูนก และออกไปตั้งแค้มป์ปิกนิกกัน
ความสงบงามของผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นสน ต้นโอ๊ก ต้นบีช ต้นวิลโล่ และต้นเมเปิล จะกลืนกินหัวใจของเราไปได้โดยง่าย จนอยากหยุดเวลาไว้ แล้วอยู่ที่ดิลิจานตลอดไป ความงามตรึงใจของธรรมชาติเหล่านี้ ก่อเกิดแรงบันดาลใจให้ศิลปินชาวอาร์เมเนียน มาใช้โลเกชั่นเป็นฐานสร้างสรรค์งานศิลป์ ทั้งนักวาดภาพ นักปรัชญา นักแต่งเพลง หรือแม้แต่นักสร้างภาพยนตร์ จนนักท่องเที่ยวขนานนามให้ว่า ‘สวิตเซอร์แลนด์น้อยแห่งอาร์เมเนีย’
มีตำนานเก่าแก่เล่าถึงที่มาของชื่อเมืองดิลิจานไว้ว่า ในครั้งกระโน้นมีชายเลี้ยงแกะคนหนึ่งชื่อ 'ดิลิ' ได้เกิดหลงรักลูกสาวของเจ้านาย แต่ด้วยฐานะต่ำต้อย ทำให้เจ้านายกีดกันมิให้ความรักสมหวัง โดยในที่สุดเจ้านายก็จับดิลิไปสังหารฝ่ายมารดาของดิลิเมื่อเห็นลูกชายหายตัวไปอย่างลึกลับ ก็ออกตามหาไปทั่ว โดยตะโกนคำว่า “Dili jan, Dili jan ..” (ดิลิ จาน, ดิลิ จาน…) เพราะ “ดิลิ” คือชื่อลูกชายของเธอ ส่วนคำว่า “จาน” ในภาษาอาร์เมเนียนเป็นคำสร้อย ใช้เรียกต่อท้ายชื่อเพื่อนหรือญาติสนิทในครอบครัว
ชื่อ ‘ดิลิจาน’ จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเมือง เพื่อให้เกียรติในความรักที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้ตัวจะต้องตาย
ผมนั่งรถยนต์จากเมืองเยเรวานตรงสู่ดิลิจานในต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างมีความสุข เพราะท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศแจ่มใส ยิ่งไกลออกจากตัวเมืองสู่ชนบท ก็ยิ่งพบเห็นแมกไม้เขียวและทุ่งดอกไม้สลับสีเบ่งบานไปทั่วราวกับภาพฝัน นี่คือเสน่ห์ของประเทศที่มี 4 ฤดูอย่างชัดเจน ผมลองเปิดกระจกรถยนต์ปล่อยให้อากาศสดชื่นเย็นฉ่ำพร่างพรูเข้ามาในรถได้เต็มที่ สูดเข้าปอดเฮือกใหญ่รู้สึกสดชื่นบอกไม่ถูก สงสัยว่าถ้าได้มาอยู่ที่นี่เลยคงหน้าใส สุขภาพดี อายุยืนขึ้นแน่ๆ
แต่โชคดีเป็นสองชั้น เมื่อไกด์ได้จองโรงแรมบนภูเขาไว้ให้นอนเล่นด้วยหนึ่งคืนในเมืองสปา จะทำให้ได้สัมผัสธรรมชาติของดิลิจานอย่างเต็มอิ่ม มีเวลาออกไปเดินเล่นเก็บภาพธรรมชาติ แต่ไกด์บอกว่าอย่าเผลอเดินเข้าไปในป่าทึบล่ะ เพราะที่นี่ยังมีสัตว์ชุกชุมมาก โดยเฉพาะหมีสีน้ำตาล หมาจิ้งจอก และตัวลิงซ์ (Lynx)เป็นแมวป่าขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งพบในเขตหนาวของโลก) ผมก็เลยขอเดินเล่นไปบนถนนตามชายป่า และตัวเมืองเก่าก็แล้วกันครับ
ไฮไลท์อย่างหนึ่งของการมาเที่ยวดิลิจานคือ การไปชมความงามของถนนสายเก่าชื่อ ชารัมเบยาน (Sharambeyan Street) ซึ่งเป็นย่านชุมชนบ้านโบราณแหล่งสุดท้ายในดิลิจานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
แม้ถนนสายนี้จะยาวแค่ไม่กี่ร้อยเมตร แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนการเดินทางย้อนเวลากลับสู่อดีตได้จริงๆ คงเพราะบรรยากาศและสถาปัตยกรรมเก่าเหล่านี้กระมัง ยิ่งเป็นคนชอบถ่ายรูปก็ยิ่งสนุก เดินเล่นได้เพลิน พื้นถนนของที่นี่ปูด้วยหินเหมือนเมืองในอดีต อาคารสองฟากฝั่งเรียงรายอย่างลงตัวและน่ารัก ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโครงด้วยหินและมีไม้เป็นส่วนประกอบอย่างแข็งแรงมั่นคง ทั้งตรงบันได ประตู หน้าต่าง หลังคา กันสาด หรือแม้แต่พื้นระเบียง
เสน่ห์อย่างหนึ่งของอาคารโบราณเหล่านี้คือการฉลุลายแกะสลักไม้อย่างสวยงามน่ามอง เป็นความละเอียดอ่อนที่ช่างใส่ใจใส่ฝีมือลงไปเต็มที่ อาคารแต่ละหลังบ้างเป็นร้านอาหารเล็กๆ ร้านกาแฟ ร้านขายงานหัตถกรรมพวกงานไม้แกะสลัก งานปั้น และทำจิวเวลลี่ที่มีหินสีประดับประดาน่าชม
ที่สำคัญบ้านโบราณบางหลังยังเป็นเกสต์เฮาส์เล็กๆ ให้เราเข้าไปนอนซึมซับบรรยากาศของวันวานในดีลิจาน แม้ภายนอกอากาศจะหนาวเย็น แต่ในห้องพักก็อบอุ่นด้วยที่นอนอย่างดีและเตาผิงกะทัดรัด เหมือนที่ผมจะได้ค้างแรมในคืนนี้
นอกจากถนนสายเก่าชารัมเบยานแล้ว ดิลิจานยังมีแหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดอีกมากมาย โดยเฉพาะโบสถ์อาร์เมเนียน เช่น โบสถ์แฮ๊กฮาร์ทซิน (Haghartsin Monastery)เป็นอารามเก่าที่ซุ่มซ่อนอยู่ในพงไพรอย่างงดงาม อยู่ห่างจากตัวเมืองดิลิจานครึ่งชั่วโมงด้วยรถยนต์, โบสถ์โกชาแวงค์ (Goshavank Monastery) มีอายุย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 12-13 ยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ และมีไม้กางเขนหินสไตล์อาร์เมเนียน เรียกว่า ‘คัชคาร์’ (Khachkar) สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก,
โบสถ์จูคท์ทัคแวงค์ (Jukhtak Vank Monastery)เป็นวิหารเล็กๆ ที่งดงามสมัยศตวรรษที่ 12 ตั้งอยู่ห่างจากแหล่งน้ำแร่สปาของเมืองดิลิจานด้วยระยะเดินเพียง 10 นาที, โบสถ์มาโทซาแวงค์ (Matosavank Monastery) สมัยศตวรรษที่ 13 ตั้งอยู่ตรงใกล้โบสถ์จูคท์ทัคแวงค์ ภายในเก่าแก่ ถูกปกคลุมด้วยมอสและตะไคร่สีเขียวจนดูลึกลับ เป็นต้น
นอกจากนี้เรายังสามารถไปพักผ่อนในแนวสุขภาพ ด้วยการเข้าพักใน Spa Hotel ที่มีน้ำแร่ร้อนธรรมชาติจากใต้ดิน นำขึ้นมาให้ได้อาบแช่เพื่อช่วยเรื่องไขข้อ กระดูก ผิวพรรณผุดผ่อง และการไหลเวียนของเลือดได้ดี หรือถ้ามีเวลาเยอะจริงๆ ก็แนะนำว่าต้องไม่พลาดออกไปเที่ยวชมทะเลสาบหลายแห่ง อาทิ ทะเลสาบพาร์สลิทส์ (Parz Litsh) หรือแปลว่า Clear Lake (ทะเลสาบใสแจ๋ว) และทะเลสาบทัสก้า (Lake Tzrka) ซึ่งมีน้ำใสสะอาดมาก ฯลฯ
แม้ดิลิจานจะเป็นเมืองบ้านนอกเล็กๆ ห่างไกลความเจริญ แต่ต้องยอมรับเลยว่าเหมือนเป็นขุมทรัพย์ทางอารยธรรมท้องถิ่น มีธรรมชาติยิ่งใหญ่ และอวลด้วยกลิ่นอายอดีต หากคุณมีโอกาสผมอยากให้คุณได้ไปสัมผัสและพานพบดิลิจานในแบบของตัวคุณเองนะครับ