จากกรณี 'สารสาสน์' ถึงการเลือก 'โรงเรียนอนุบาล'
"วัยเด็กเล็ก วัยอนุบาล" ถือเป็นช่วงเวลาทองของสมอง ระบบความคิด และพัฒนาการเรียนรู้ได้ดีที่สุดของเด็ก แต่จากกรณี "พี่เลี้ยง - ครูทำร้ายเด็กเล็ก" อย่างที่เป็นข่าว "ผู้ปกครอง" คงต้องตระหนักถึงการเลือกโรงเรียนเตรียมอนุบาล หรือโรงเรียนอนุบาลให้แก่ลูกๆ
อย่างที่ทราบกันดีว่า "การลงทุนช่วงปฐมวัย" คือ การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มที่สุดในทางเศรษฐศาสตร์ ทว่าการลงทุนดังกล่าวไม่ใช่เพียงเรื่องของค่าเล่าเรียนเท่านั้น แต่ต้องหมายถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพร่วมด้วย
รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ ประธานกรรมการดำเนินงานโครงการศึกษานานาชาติในโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ตั้งแต่อนุบาล1-ป.3 การเรียนการสอนควรเน้นให้เรียนรู้ที่เป็นไปตามช่วงวัยของพวกเขา โดยต้องเป็นการเรียนที่สนุกสนาน เรียนรู้ตามธรรมชาติพัฒนาการของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีศักยภาพ ทักษะ ความถนัดความชอบแตกต่างกัน การเรียนรู้ไม่ใช่เน้นผลสัมฤทธิ์ของเด็ก หรือการอ่าน ออก เขียน ได้ คิดเลขเป็น แต่ต้องเป็นการเรียนที่เติมเต็มพัฒนาการของพวกเขาทั้งร่างกาย สมอง ระบบความคิด และจิตใจร่วมด้วย
"เด็กช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สมองเติบโตเร็วที่สุด และพร้อมที่จะรับการเรียนรู้ที่เหมาะสม สอนง่าย ดังนั้น การเลือกโรงเรียนอนุบาลให้แก่ลูกนั้น พ่อแม่ควรพิจารณาจากครูผู้สอน การจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับหลักพัฒนาการทางสมอง ให้โอกาสเด็กได้เรียน ได้เล่น ได้ทดลอง สร้างความเชื่อมั่น การจัดการเรียนการสอนปฐมวัยตั้งแต่อนุบาล-ป.3 ซึ่งพ่อแม่และครูที่สอนระดับนี้ต้องเข้าใจตรงกัน ต้องทำให้เด็กคิดได้ แก้ปัญหาได้ มีวินัย มีความสุขใฝ่เรียนรู้ มีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ มีจินตนาการ ซึ่งต้องสร้างความสมดุลของสมองทั้งสองซีก ทั้งฝั่งจินตนาการความคิด และด้านการเรียนรู้ อันนี้คือหัวใจของการเรียนการสอนขั้นปฐมวัย” รศ.ดร.ดารณี กล่าว
สำหรับการเลือกโรงเรียนอย่างเหมาะสมตามวัยของลูกนั้น "พญ.มัณฑนา ชลานันต์ กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรมโรงพยาบาลกรุงเทพ" แนะนำว่าควรพิจารณาตามช่วงอายุ โดยช่วงกลุ่มอายุก่อนเข้าวัยเรียนหรือวัยอนุบาล (Pre-School Age) จะเรียนรู้ได้ดีผ่านกิจกรรมการเล่นที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นอกจากนี้งานวิจัยพบว่า หากเด็กกลุ่มนี้ได้รับประสบการณ์เข้าเรียนในโรงเรียนหรือสถาบันที่มีคุณภาพ (High Quality Day Care) จะทำให้เด็กมีทักษะทางด้านความคิด ภาษา และสังคมดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับประสบการณ์ดังกล่าว
การพิจารณาว่าโรงเรียนหรือสถาบันใดมีคุณภาพนั้นต้องพิจารณาจาก "ครูผู้สอน" เริ่มจากสัดส่วนของครูและเด็ก โดยเด็กอายุประมาณ 2-3 ขวบ สัดส่วนคุณครู 1 คน ควรดูแลเด็ก 4-5 คน โดยขนาดกลุ่มไม่ควรเกิน 10 คน เด็กวัย 3-4 ขวบ ควรมีคุณครู 1 คนต่อเด็ก 6-7 คน และเด็กในกลุ่มไม่ควรเกิน 14 คน เป็นต้น การดูแลเด็กในสัดส่วนที่พอเหมาะ จะทำให้ครูสามารถดูแลเด็กได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึง
"วุฒิการศึกษาของคุณครู ต้องชัดเจนว่าครูผู้สอนเรียนจบด้านปฐมวัยโดยตรง และต้องมีการอัพเดทความรู้ในการสอน ดูแลเด็กอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ครูต้องมีทัศนคติเชิงบวกต่อเด็ก และการไม่เปลี่ยนครูผู้สอนบ่อย ๆ ทำให้คุณครูคุ้นเคยและเข้าใจเด็กแต่ละคนได้เป็นอย่างดีจะส่งผลให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง"
รวมถึง กิจกรรมหรือหลักสูตรของโรงเรียน ต้องมีความเหมาะสมต่อการพัฒนาการของเด็กในทุกด้าน ทั้งด้านทักษะความสมบูรณ์ของร่างกาย ควรมีกิจกรรมให้เด็กได้ออกกำลังกาย เสริมให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มีความยืดหยุ่นและฝึกการทรงตัว รวมทั้งมีการจัดการด้านโภชนาการที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กควบคู่กันไปด้วย และควรมีการเสริมสร้างพัฒนาการทักษะอื่นๆ อาทิ ทักษะด้านภาษา กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และทักษะด้านสังคม เช่นการวางแผน การทำตามกฎ การแบ่งปัน รวมทั้งการเล่นหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน เป็นต้น
นอกจากนั้น ความสะอาดในโรงเรียน เพื่อการป้องกันการติดเชื้อ และอันตรายต่างๆ โดยขอดูนโยบายของโรงเรียนว่ามีหลักการเหล่านี้ หรือไม่ เช่น การทำความสะอาดของเล่นอยู่เป็นประจำ สอนให้เด็กล้างมือก่อน/หลังการรับประทานอาหาร หรือหลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จทุกครั้ง บริเวณที่เด็กเล่นควรมีความอ่อนนุ่มเหมาะสมต่อการรองรับหากเกิดการพลัดตกหกล้มระหว่างที่เด็กเล่น ควรมีแผนรองรับหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมีการฉีดวัคซีนให้กับคุณครูอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเด็กที่ป่วยไปสู่เด็กอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม อย่าเลือกโรงเรียนให้ลูก จากคำบอกเล่าของคนอื่นว่าโรงเรียนดี ไม่ดีอย่างไร แต่ขอให้เลือกจากการค้นหาข้อมูล การลงไปในโรงเรียนนั้นๆ ดูการเรียนการสอน เพราะอนาคตของลูก "โรงเรียนอนุบาล" พ่อแม่สามารถออกแบบเลือกให้ลูกได้