10 เรื่องน่ารู้ ทำความเข้าใจ ‘ก่อการร้าย’

7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 คือวันเริ่มต้นของ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (War on Terrorism) ย้อนมองอดีตและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อการร้ายผ่านเรื่องน่ารู้ 10 ข้อ
ไม่มีใครในโลกที่อยากให้เกิดความสูญเสีย โดยเฉพาะการสูญเสียที่มีต้นเหตุมาจากเหตุการณ์ "ก่อการร้าย" เมื่อมองย้อนอดีต ในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 คือวันเริ่มต้นของ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (War on Terrorism)
หลังจากที่ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐอเมริกา ได้สั่งให้เครื่องบินรบเข้าทิ้งระเบิดถล่มประเทศ อัฟกานิสถาน โดยพุ่งเป้าไปที่ โอซามา บิน ลาเดน หัวหน้ากลุ่ม อัล ไกด้า ซึ่งมีความสัมพันธ์กับรัฐบาล ตาลีบัน ของอัฟกานิสถาน หลังจากสถานการณ์เหตุการณ์ 9/11 ที่มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐเป็นจำนวนกว่า 3,000 คน
ภาพของเครื่องบินชนตึกแฝด กลายเป็นจุดเริ่มต้นความสะเทือนขวัญที่ทำให้ การก่อการร้าย กลายเป็นฝันร้ายของคนทั้งโลก แม้ว่าผู้คนบางส่วนจะไม่ได้ประสบเหตุการณ์นั้นโดยตรง
ณ ปัจจุบัน การก่อการร้ายยังคงเกิดขึ้นในโลกอย่างต่อเนื่องตลอดมา นอกจากความสูญเสีย ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของ การก่อการร้าย ว่ามีอิทธิพลและส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนย้อนมองอดีตและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อการร้ายผ่านเรื่องน่ารู้ 10 ข้อ
- การก่อการร้ายคืออะไร?
นิยามของการก่อการร้ายถูกให้ความหมายหลากหลายแบบ แตกต่างตามการกำหนดใช้ในองค์กร และประเทศต่างๆ สำหรับหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา หรือ FBI นิยามการก่อการร้าย (Terroorism) ไว้คือ
“การใช้กำลังและความรุนแรงอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อข่มขู่หรือบีบบังคับรัฐบาล ประชาชนพลเรือน หรือส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือสังคม”
มีการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการก่อการร้ายว่า นอกจากจะมีคำเรียกรวมๆ แล้ว ยังมีนิยามที่แยกประเภทตามสถานที่ที่เกิดเหตุของ การก่อการร้ายในประเทศและระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน
สำหรับนิยามคำว่าก่อการร้าย ที่มักถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นที่ยอมรับในวงกว้างที่สุดนิยามหนึ่งในปัจจุบันนั้น คือ
“การก่อการร้าย คือวิธีการซึ่งได้รับอิทธิพลจากการสร้างความวิตกกังวลในการใช้ความรุนแรงซ้ำๆ ซึ่งกระทำโดยปัจเจกบุคคลที่มีลักษณะ (กึ่ง) ซ่อนเร้น เป็นกลุ่ม หรือเป็นตัวแสดงของรัฐ เพื่อเหตุผลอันมีลักษณะเฉพาะ เป็นอาชญากรรม หรือเหตุผลทางการเมืองซึ่งตรงข้ามกับการลอบสังหารเป้าหมายโดยตรงของการใช้ความรุนแรงไม่ได้มีเป้าหมายหลัก
มนุษย์ซึ่งตกเป็นเหยื่ออย่างกะทันหันในจุดเกิดเหตุโดยทั่วไปจะเกิดจากการเลือกแบบสุ่ม (เป้าหมายตามโอกาส) หรือเลือกอย่าง (เป็นตัวแทน หรือเป็นสัญลักษณ์) อิงตามกลุ่มประชากร ซึ่งเหยื่อเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสาร สารซึ่งวางรากฐานอยู่บนการคุกคามและความรุนแรงที่ถูกขับเคลื่อนโดยผู้ก่อการร้าย (หรือองค์กร) เหยื่อ (ซึ่งถูกทำให้ตกอยู่ในอันตราย) และเป้าหมายที่ถูกใช้เพื่อชักจูงเป้าหมายหลัก (ผู้ส่งสาร) เพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นเป้าของความหวาดกลัว เป็นเป้าแห่งการเรียกร้อง หรือเป็นเป้าแห่งความสนใจ ขึ้นอยู่กับสิ่งใดเป็นความต้องการมูลฐานระหว่างการขู่ให้กลัว การข่มขู่ หรือการโฆษณาการ”
คำนิยามนี้มาจากอเล็กซ์ ชมิด (Alex P. Schmid) นักวิชาการด้านการก่อการร้ายศึกษาและความมั่นคงศึกษาชื่อดังชาวเนเธอร์แลนด์แห่งมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ ที่ศึกษาองค์ประกอบ “การก่อการร้าย” จากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก และนำมาสร้างนิยามที่ครอบคลุมที่สุด
- "การก่อการร้าย" เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
คำว่า “การก่อการร้าย” หรือ “Terrorisme” เริ่มต้นใช้ที่ประเทศฝรั่งเศสช่วงปี 1795 หรือประมาณ 6 ปีหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส (1789) ในช่วงเวลานั้น ความหมายของคำนี้ไม่ได้มีความหมายตามความเข้าใจในปัจจุบัน เพราะครั้งแรกที่นำมาใช้ เป็นการนำมาใช้เพื่ออธิบายสภาวะความน่าหวาดกลัว (The Reign of Terror) จากการปกครองของโรเบสปิแอร์ ที่ประหารฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่เป็นอริของการปฏิวัติจำนวนมากด้วยเครื่องกิโยตีน สร้างความสยดสยองให้กับประชาชน ฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่พวกเดียวกัน
ทั้งนี้ ก่อนหน้าปี 1795 ใช่ว่าประเทศฝรั่งเศสจะไม่รู้จักความโหดร้ายมาก่อน มีหลักฐานบ่งชี้ว่าการปกครองของกษัตริย์ฝรั่งเศสหลายพระองค์ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันโหดร้าย มีทั้งการประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะ และเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมาย
- แนวคิดก่อการร้ายเริ่มต้นจากเรื่องประชาธิปไตย
การที่คำว่า “การก่อการร้าย” เกิดขึ้นมาในช่วงปี 1795 เพราะการเกิดสำนึกคิดเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งมองหรือเชื่อว่ารัฐชาติคือสมบัติร่วมของประชาชนทุกคนในรัฐอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อแผ่นดินที่เป็นรัฐชาติถูกกระทำจากบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง จะหมายถึงการทำร้ายหรือทำลายผลประโยชน์ของทุกคนในรัฐในฐานะเจ้าของแผ่นดิน ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่รัฐเป็นของผู้ปกครอง การกระทำต่อแผ่นดินจึงเป็นการกระทำต่อผู้ปกครอง ดังคำที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าคือรัฐ รัฐคือตัวข้าพเจ้า”
ในช่วงศตวรรษที่ 19 คำว่า “การก่อการร้าย” ก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะ Edmund Burke ซึ่งเป็นทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นักวิชาการ และนักพูดสายอนุรักษนิยมชาวไอร์แลนด์พูดถึงการลุกฮือของกลุ่มเกษตรกรในไอร์แลนด์ที่ต่อต้านเจ้าที่ดินว่าเป็น “สัตว์จากนรกที่เรียกว่าผู้ก่อการร้าย”
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 คำว่า “การก่อการร้าย” เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ในครั้งนี้มีการเพิ่มความเชื่อมโยงกับ “ยุทธการลอบสังหารทางการเมือง” โดยกลุ่ม Narodnaya Volya ที่ต่อต้านระบบซาร์ ใช้การ “ทำลาย
จุดศูนย์กลางของอำนาจ” ซึ่งก็คือการลอบสังหารพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ในเดือนมีนาคม 1881
ในช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษ การก่อการร้ายถูกเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวแบบอนาธิปไตย โดยกลุ่มนิยมอนาธิปไตยต่อต้านอำนาจรัฐด้วยการปาระเบิดใส่ และพร้อมกับสโลแกน “แสดงให้เห็นผ่านการกระทำ” (Propaganda by the deed) ขบวนการเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นต้นแบบของกลุ่มก่อการร้ายอย่างที่เข้าใจหรือรับรู้ในปัจจุบัน และเป็นจุดเริ่มต้นของการตีความการก่อการร้ายในฐานะอุดมการณ์ทางการเมืองแบบหนึ่ง
ต่อมาช่วงทศวรรษที่ 1940 – 1950 คำว่า “การก่อการร้าย” ปรากฏขึ้นอย่างกว้างขวางและถี่ขึ้น โดยถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายความพยายามในการต่อต้านเจ้าอาณานิคมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่พยายามต่อต้านเจ้าอาณานิคมมีความชอบธรรมสูง ที่เป็นเช่นนี้เพราะ “การล่าอาณานิคม” ในห้วงเวลานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมอีกต่อไป จนบางครั้งมีความพยายามใช้คำอื่นแทน เช่น “กลุ่มผู้ร้าย” (Bandit)
- ทั่วโลกเสียชีวิตในเหตุการณ์ก่อการร้ายไปเท่าไหร่
สถิติจากเว็บไซต์ ourworldindata.org ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้าย พ.ศ. 2550 ถึง 2560 ทั่วโลกเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 21,000 คน
จำนวนต่ำสุดในรอบ 10 ปี คือ 7,827 คนในปี 2010 และมีจำนวนมากที่สุดในปี 2014 คือ 44,490 คน และในปี 2017 การก่อการร้ายทำให้มีผู้คนเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 0.05% ของคนทั่วโลก ทั้งนี้จากตัวเลขดังกล่าว เป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้ว รวมถึงนับรวมเหยื่อและผู้โจมตีทั้งหมดด้วยเช่นกัน
- พื้นที่เสี่ยงกลุ่มก่อการร้าย
ในปี 2017 การก่อการร้ายกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก แต่ถึงอย่างนั้นระดับความรุนแรงก็ยังคงกระจุกตัวอยู่แค่บางประเทศเท่านั้น ไล่ลำดับจากตัวเลขผู้เสียชีวิตดังนี้
อิรัก เสียชีวิต 6,476
อัฟกานิสถาน เสียชีวิต 6,092
ซีเรีย เสียชีวิต 2,026
โซมาเลีย เสียชีวิต 1,912
ไนจีเรีย เสียชีวิต 1,805
ปากีสถาน เสียชีวิต 1,076
อียิปต์ เสียชีวิต 877
เยเมน เสียชีวิต 762
แอฟริกา เสียชีวิต 601
คองโก เสียชีวิต 596
ซูดาน เสียชีวิต 581
- 5 เหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งใหญ่ ที่โลกไม่เคยลืม
11 กันยายน 2011 เหตุการณ์ 9/11
กลุ่มก่อการร้ายจำนวน 19 คน จี้เครื่องบินอเมริกันแอร์ไลน์และยูไนเต็ดแอร์ไลน์ 4 ลำ ทำให้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ในมหานครนิวยอร์กและอาคารส่วนหน้าของตึกเพนตากอน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน
11 มีนาคม 2004 เหตุการณ์ 11-M
ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสเปนเพียง 3 วัน ก็เกิดเหตุระเบิดรถไฟในกรุงมาดริด หลังจากรถไฟกำลังจอดเทียบท่าที่สถานี Atocha ซึ่งอีก 500 เมตรก็จะถึงสถานี ระเบิดลูกแรกก็ทำงาน และระเบิดลูกอื่นๆ ก็ตามมา รวมทั้งสิ้น 14 ลูก จนทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 200 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 1,500 คน
15 เมษายน 2013 เหตุการณ์ระเบิดมาราธอน บอสตัน
ในงานวิ่งมาราธอนที่บอสตัน ขณะที่นักวิ่งหลายพันคนกำลังวิ่งมุ่งหน้าเพื่อเข้าเส้นชัยบนถนนบอยล์สตัน ก็เกิดมีระเบิดดังสนั่นบริเวณเส้นชัย จากนั้นระเบิดลูกที่สองก็ทำงานโดยห่างจากระเบิดลูกแรกเพียงแค่ 12 วินาที ระยะห่างจากลูกแรกแค่ 180 เมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บอีก 264 คน
7 มกราคม 2015 เหตุการณ์ชาร์ลี เอ็บโด
คนร้ายสองคนสวมหน้ากากและถืออาวุธสงครามบุกเข้ายิงสำนักงานของชาร์ลี เอ็บโด หนังสือพิมพ์ล้อเลียนและเสียดสีของฝรั่งเศส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ สเตฟาน ชาร์บอนีเย บรรณาธิการชาร์ลี เอ็บโด จากเหตุการณ์นี้เกิดกระแส Je suis Chalie หรือ "ฉันคือชาร์ลี" และ #JeSuisCharlie
13 พฤศจิกายน 2015 เหตุการณ์กราดยิงปารีส
คนร้ายบุกยิงประชาชนในกรุงปารีส ไม่ว่าจะเป็นที่โรงละครบาตากล็อง ซึ่งกำลังจัดแสดงคอนเสิร์ตวง Eagles of Death Metal จากสหรัฐ ต่อด้วยการบุกยิงที่ร้านอาหารหลายแห่ง และที่บริเวณหน้าสนามฟุตบอลสตั๊ด เดอ ฟรองซ์ ที่กำลังมีแมตซ์การแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสและเยอรมนี มียอดผู้เสียชีวิตถึง 160 คน
- กลุ่มก่อการร้าย หัวรุนแรง
ปัจจุบัน กลุ่มก่อการร้ายมีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่เครือข่ายและชื่อที่เรามักจะได้ยินในเหตุการณ์สำคัญประกอบไปด้วย กลุ่มก่อการร้าย 3 กลุ่ม
กลุ่มTaliban ตาลีบัน
กลุ่มนี้เกิดขึ้น ในปี 1991 ท่ามกลางไฟแห่งสงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถาน กลุ่มนักเรียนศาสนาในเมืองKandaharในตอนใต้ของประเทศได้รวมตัวกันจับอาวุธลุกขึ้นสู้ภายใต้การนำของครูสอนศาสนาที่ชื่อว่ามุลเลาะห์ โมฮัมหมัด โอมาร์ โดยคำว่า Talib นั้นแปลตรงตัวได้ว่า ‘นักเรียน’ และ Taliban ก็คือรูปพหูพจน์ของ Talib
กลุ่ม al-Qaeda อัลกออิดะฮ์
เป็นกลุ่มก่อการร้ายอิสลามสากล ก่อตั้งโดย อุซามะฮ์ บิน ลาดิน, อับดุลลาห์ อัซซัม (Abdullah Azzam) อัลกออิดะฮ์โจมตีต่อเป้าหมายพลเรือนและทหารในหลายประเทศ เหตุการณ์สำคัญได้แก่ เหตุการณ์ 9/11
กลุ่ม ISIS ไอซิส
กลุ่มก่อการร้ายที่มีอิทธิพลมากที่สุดในปัจจุบัน ได้เคยครอบครองอาณาบริเวณกว้างขวาง เคยจัดตั้งรัฐอิสลาม หรือ Caliphate ที่ครอบคลุมตะวันตกของอิรัก ตะวันออกของซีเรีย และบางส่วนของลิเบีย กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรง ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ได้ประกาศเข้าร่วมและสวามิภักดิ์ ต่อ ISIS
- ก่อการร้ายสู่สงครามต่อต้านการก่อการร้าย
เหตุการณ์การก่อวินาศกรรมวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมโลก สหรัฐอเมริกาได้ประกาศสงครามกับกลุ่มก่อการร้ายและพร้อมจะทำลายกลุ่มองค์กรเหล่านี้ รวมทั้งรัฐบาลที่ให้แหล่งพักพิงและสนับสนุนการก่อการร้าย โดยในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 คือวันเริ่มต้นของ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (War on Terrorism)
ประธานาธิบดีบุช ได้ประกาศให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องตัดสินใจว่าประเทศเหล่านั้นจะอยู่ข้างสหรัฐอเมริกาหรืออยู่ข้างฝ่ายก่อการร้าย การประกาศดังกล่าวทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างระมัดระวัง ในการหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งทั้งจากสหรัฐอเมริกาและกลุ่มก่อการร้าย
สงครามในคริสต์ศตวรรษที่ 21 จึงเกิดขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาเข้าไปโค่นล้มรัฐบาลของประเทศอัฟกานิสถานและอิรักโดยอ้างถึงความกดขี่ในด้านการปกครองและการสนับสนุนการก่อการร้ายของรัฐบาลชุดเก่า (รัฐบาลกลุ่มตาลีบันและประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน) แล้วจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกัน กลุ่มก่อการร้ายก็ต่อต้านสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร เช่น อังกฤษ และออสเตรเลีย ด้วยการก่อวินาศกรรมทำลายชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น
- HiJacks หนึ่งในกลไกของการก่อการร้าย
การจี้เครื่องบินเป็นรูปแบบการก่อการร้ายที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล
การจี้เครื่องบิน ที่เรียกว่า HiJacks หรือบางครั้งเรียกว่า Skyjacking เป็นการยึดเครื่องบินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะโดยบุคคลหรือกลุ่มที่จัดขึ้น โดยทั่วไปคนร้ายจะเรียกร้องให้นักบินบินไปยังสถานที่เฉพาะเจาะจง หรือบางกรณีคนร้ายจะพยายามขับเครื่องบินด้วยตนเอง
ข้อมูลจาก Aviation Safety Network รายงานว่า 1968-1972 มีเหตุการณ์จี้เครื่องบินจำนวนมากกว่า 305 ครั้งทั่วโลก และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลานั้นจึงถูกขนานเรียกว่า “Golden Age of hijacking” หรือยุคทองของการจี้เครื่องบิน
โดยส่วนใหญ่แล้วสถิติผู้ร้ายมักจะจี้เครื่องบินไปลงที่คิวบา หรือการเรียกร้องเงินค่าไถ่จำนวนมาก ยุคของการจี้เครื่องบินสิ้นสุดลงในปี 2516 เมื่อสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ในสหรัฐฯ ออกกฎที่กำหนดให้มีการคัดกรองผู้โดยสารและสัมภาระถือขึ้นเครื่องทั้งหมดก่อนขึ้นเครื่องบินโดยสาร และกฎที่ตั้งขึ้นนั้นได้รับการใช้ในสายการบินทั่วโลก
- รถ อาวุธใหม่ก่อการร้าย 2020
นอกการจี้เครื่องบิน ใช้ระเบิด ในปัจจุบันการก่อการร้ายได้ใช้รถในการก่อเหตุหลายครั้ง เนื่องด้วยสภาพปัจจุบันการก่อเหตุด้วยการวางระเบิดทำได้ยากขึ้น FBI ยืนยันว่า สามารถขัดขวางการก่อเหตุรุนแรงได้ถึง 80 คดี เนื่องจากได้รับข้อมูลจากคนใกล้ชิดของคนร้าย
แต่การใช้รถยนต์ ป้องกันได้ยาก เพราะไม่สามารถตรวจรถยนต์ทุกคันที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนได้ ที่จริงแล้วการขับรถไล่ชนผู้คนมีมานานหลายปีแล้ว โดยชาวปาเลสไตน์นำมาใช้เป็นกลุ่มแรก เพื่อสังหารชาวยิว จนกระทั่งปี 2010 กลุ่มอัลกออิดะห์ ก็นำมาประยุกต์ใช้บ้าง ตามด้วยกลุ่มไอเอส และถึงขั้นพิมพ์คู่มือออกมาให้สมาชิกปฏิบัติตาม เช่นการเลือกรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ จุดที่ควรลงมือ และวิธีบังคับรถอย่างไร ให้สร้างความเสียหายต่อชีวิตผู้คนได้มากที่สุด
--------------------------
อ้างอิง :