สลด! พะยูนตรังตายอีกหนึ่ง หมอยันโดนพิษเงี่ยงปลากระเบน
สลด! พะยูนตรังตายอีกหนึ่ง หมอยันโดนพิษเงี่ยงปลากระเบน “วราวุธ” กำชับทุกฝ่ายทำงานหนักขึ้น เพิ่มจำนวนพะยูนตามเป้าเดิมให้ได้
กรณีพบพะยูนตายบริเวณเกาะมุก จังหวัดตรัง โดยมีชาวบ้านพบเห็น และแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ชันสูตรทราบสาเหตุการตายเนื่องจากถูกเงี่ยงปลายหางปลากระเบนแทงปักคากล้ามเนื้อ ความยาวกว่า 11 เซนติเมตร คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 วัน ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ย้ำให้ทุกฝ่ายทำงานกันให้หนักขึ้น ละเอียดขึ้น และร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันการสูญเสียและลดจำนวนของพะยูน อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง และหน่วยลาดตระเวนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อจะได้เข้าช่วยชีวิตหรือรักษาพะยูนก่อนที่จะมีเหตุสูญเสีย ต่อไป
วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์นี้ตนได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของพะยูนถึง 2 ตัว โดยเมื่อ 3 – 4 วันก่อน พะยูนเสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ระหว่างเกาะแหวนกับเกาะกระดาน สาเหตุคาดว่าถูกของมีคมกระแทกช่วงหลังอย่างแรง ล่าสุดวานนี้ (วันที่ 20 ธันวาคม 2563) ได้รับรายงานการเสียชีวิตของพะยูนเพศผู้เสียชีวิตบริเวณเกาะมุก จังหวัดตรัง แต่ครั้งนี้คาดว่าเกิดจากถูกเงี่ยงปลายหางปลากระเบน ซึ่งเป็นเหตุจากการต่อสู้ตามธรรมชาติของสัตว์ทะเล
อย่างไรก็ตาม ตนก็ยังรู้สึกกังวลกับจำนวนพะยูนที่ลดจำนวนลงไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ซึ่งทุกฝ่ายคงต้องทำงานกันให้หนักขึ้น ละเอียดขึ้น และร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันการสูญเสียและลดจำนวนของพะยูน อนึ่ง ตนได้สั่งการให้นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กำกับการชันสูตรหาสาเหตุการตาย และหามาตรการในการเฝ้าระวัง ประชาสัมพันธ์ และสร้างเครือข่ายในพื้นที่ให้เพิ่มขึ้น อีกทั้ง เร่งดำเนินโครงการตามแผนพะยูนแห่งชาติ เพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจำนวนพะยูนให้ได้ตามเป้าหมายเดิมกำหนดไว้ จำนวน 280 ตัว ในปี 2565
ด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วันนี้ ตนได้รับรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเกี่ยวกับผลการชันสูตร โดยคณะสัตวแพทย์ของกรมฯ และสัตวแพทย์หญิงปิยฉัตร บัวศรี สัตวแพทย์ประจำสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีชัยวิทยาเขตตรัง พบว่า พะยูนตัวดังกล่าวเป็นพะยูนเพศผู้ ขนาดโตเต็มวัย น้ำหนักประมาณ 350 กก. สภาพซากเน่า คาดว่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 วัน ลักษณะภายนอกพบบาดแผลจากรอยเขี้ยวของพะยูนตัวอื่น ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมในฝูงของพะยูนตามธรรมชาติ และรอยบาดแผลถูกของมีคมขนาดกว้าง 1 เซนติเมตร เมื่อเปิดผ่าชันสูตรพบว่าอวัยวะภายในเน่าสลาย ไม่สามารถระบุรอยโรคบ่งบอกสาเหตุความผิดปกติได้ ส่วนของทางเดินอาหารเต็มไปด้วยหญ้าทะเลอัดแน่นเต็มกระเพาะอาหาร และตลอดทั้งทางเดินอาหาร ไม่พบสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ผนังของกระเพาะอาหารเป็นแผลหลุมเล็กน้อย
นอกจากนี้ ยังพบเงี่ยงปลายหางของปลากระเบน ขนาดความยาวประมาณ 11 เซนติเมตร ปักติดอยู่ภายในเนื้อเยื่อบริเวณกระดูกซี่โครงอกด้านซ้ายซี่ที่ 1 และ 2 ทางคณะแพทย์ผู้ชันสูตรจึงสรุปสาเหตุการเสียชีวิตได้ว่าเกิดจากเมือกพิษบริเวณเงี่ยงปลายหางกระเบนแทงทะลุเข้าบริเวณช่องอก ทำให้พะยูนเสียชีวิตโดยฉับพลัน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กำชับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ในการตรวจลาดตระเวนให้เข้มงวดขึ้น หากพบพะยูนที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยให้รีบประสานทีมสัตวแพทย์เพื่อลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือทันที เพื่อจะได้ลดการสูญเสียพะยูนในธรรมชาติ อีกทั้ง ให้คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการลาดตระเวนและอนุรักษ์พะยูนให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ต่อไป นายจตุพร กล่าว
นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า จากรายงานสถิติการเสียชีวิตของพะยูนปี 2562 มีทั้งหมด 23 ตัว และในปี 2563 จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2563 มีพะยูนเสียชีวิต 20 ตัว ปัจจุบันมีพะยูนในธรรมชาติเพียง 255 ตัว โดยที่จังหวัดตรังมีจำนวนพะยูนมากที่สุด จำนวน 185 ตัว
อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เพื่อกำหนดเขตอนุรักษ์และคุ้มครองทรัพยากรทางทะเล ซึ่งจะครอบคลุมถึงการลดและปล่อยมลสารลงในทะเล การจัดการการท่องเที่ยวเพื่อชมพะยูนและการกำหนดเส้นทางการนำเรือเข้าไปในแนวหญ้าทะเล เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดแผนงานโครงการเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และเพิ่มจำนวนพะยูนในประเทศไทยอีกด้วย