ครึ่งก้าวของ...น่านแซนด์บ๊อกซ์
ถอดรหัส “ครึ่งก้าว” ของการทำงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมาของ “น่านแซนด์บ๊อกซ์” ในวันที่โจทย์ของป่าน่านก็กำลังเปลี่ยนไปด้วย
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ที่ “ป่าน่าน” กลายเป็นป่าชื่อดังอีกผืนหนึ่งของประเทศไทยจากการถูกถากหายไปกว่า 1.8 ล้านไร่ จนกลายเป็น “รอยแผลเป็น” และจุดกระแสอนุรักษ์ป่าให้สังคมตื่นตัวกันอยู่พักใหญ่ ถึงวันนี้ 5 ปีผ่านไป การไม่ได้ปรากฏบนพื้นที่สื่อ ก็ไม่ได้แปลว่า แผลเป็นของป่าน่านนั้นจะเลือนหายไปตามกาลเวลา
ความสูญเสียพื้นที่ป่า ปีละ 2.5 แสนไร่ ที่สร้างผลกระทบให้กับป่ากว่า 4.5 ล้านไร่กลายเป็นโจทย์ “คณิตศาสตร์ง่ายๆ” ของ บัณฑูร ล่ำซำ หัวเรือใหญ่ฟากเอกชนที่เข้ามารับหน้าเสื่อในงานฟื้นฟู และแก้ปัญหาป่าแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่เจ้าตัวได้รับมา
โดยมี ที่ทำกิน วิถีการทำมาหากินที่ถูกต้อง รวมทั้งข้อกฎหมายบางประการเพื่อนำไปสู่การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างเพียงพอ เป็นเป้าหมายหลักของภารกิจนี้
การทดลองปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินเชิงพื้นที่ หรือ น่านแซนด์บ๊อกซ์ หรือ นซบ. (NAN Sandbox) จึงเกิดขึ้นในปี 2561 โดยมีสมการ 72-18-10 เป็นสูตรในการแก้ปัญหา
72 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ พื้นที่ป่าสงวนในปัจจุบัน ที่จะต้องช่วยรักษาป่าต้นน้ำผืนนี้ให้คงอยู่ตลอดไป
18 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ พื้นที่ทำกินในเขตป่าที่รัฐจะอนุญาตให้เกษตรกรปลูก “พืชเศรษฐกิจ” ใต้ร่มไม้ใหญ่ในพื้นที่ส่วนนี้ได้
10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ พื้นที่ที่จัดสรรให้ปลูกพืชเศรษฐกิจได้เต็มที่ แต่ยังคงเป็นเขตป่าสงวนโดยกฎหมาย
“เทียบบันได 10 ขั้น ถึงวันนี้เดินไปได้กี่ขั้นแล้ว” คำถามหนึ่งถูกตั้งขึ้นในวงสนทนาบางช่วงของงานประชุมผู้นำชุมชน 99 ตำบลความคืบหน้าการแก้ปัญหาป่าน่าน “น่านแซนด์บ๊อกซ์” ที่บ้านเจ้าสัวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
“ครึ่งขั้น” เจ้าบ้านตอบเสียงดังฟังชัด
เมื่อ “การปลูกให้เสร็จ" กับ "การปลูกให้สำเร็จ" นั้นต่างกัน โดยเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำน่านที่มีปัจจัยแวดล้อมค่อนข้างซับซ้อน และเรื้อรังตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา “ครึ่งขั้น” ในความหมายของการแก้ปัญหาจึงมีมากกว่าความคืบหน้าเท่าที่ตาเห็น
ครึ่งขั้นก้าวของป่าทดลอง
"ขั้นต้นต้องตกลงกันก่อนโดยจะต้องไม่มีใครผิดกฎหมายอีกต่อไปเซ็ตซีโร่ และเริ่มต้นใหม่ ตกลงกันให้ได้" นั่นคือสิ่งที่ถูกหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ตั้งแต่เริ่มนับหนึ่งของโครงการเมื่อปีที่แล้ว
การ “ล้างไพ่” เพื่อนำไปสู่ข้อมูลเอกสารชุดเดียวกันของทั้ง ชาวบ้าน - รัฐ - ฝ่ายความมั่นคง โดยแต่ละตำบลจะต้องทำตัวเลขสถานการณ์ตัวเองเพื่อนำไปสู่การจัดสรรพื้นที่ และสร้าง “มูลค่าสูงสุด” ภายใต้เขตพื้นที่ที่กำหนด
“วันนี้เราสามารถบรรลุข้อตกลงในการแก้ปัญหาป่าต้นน้ำน่านแล้ว” เขาเทียบเคียงความคืบหน้าของภารกิจอนุรักษ์ป่าน่านหลังจากเปิดตัวเสนอแนวคิดของโครงการไปได้ 1 ปี
รูปธรรมของการบรรลุ “ข้อตกลง” สำหรับป่าน่านก็คือ มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบาย และกำกับดูแลอย่างเป็นกิจลักษณะ มีนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานกรรมการ และคณะกรรมการดำเนินงาน พื้นที่จังหวัดน่าน โดยมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการภาครัฐ บัณฑูร ลํ่าซำ เป็นประธานกรรมการภาคเอกชน ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นรองประธานกรรมการ และคณะกรรมการอีก 23 คน ร่วมด้วยอนุกรรมการด้านจัดทำชุดข้อมูลและแผนที่ และอนุกรรมการด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์
ทั้งหมดได้เข้ามาทำหน้าที่ บริหารพื้นที่รูปแบบพิเศษ เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
“ถ้ารัฐกับประชาชนร่วมมือกันไม่ได้ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้” เป็นความท้าทายที่ตัวเขาพยายามบอกเล่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าความร่วมมือที่เจ้าตัวคาดหวังเอาไว้จะเกิดขึ้นแล้ว เมื่อ “พื้นที่ทำกิน” ในกรอบของกฎหมายนั้นต่างเป็นที่ยอมรับบนโต๊ะเจรจา
เรื่องนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเล่าถึงความคืบหน้าของการพิจารณาข้อกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อหาจุดร่วมที่เหมาะสมในการที่คนจะอยู่กับป่าต่อไปในอนาคต
“อย่าเพิ่งพูดว่าใครได้เท่าไหร่นะครับ อยากให้มองถึงเรื่องของการมีสิทธิทำกินเพื่อนำไปสู่การอยู่รอด และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นให้ได้ก่อน วันนี้ เรื่องโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังเข้าไม่ถึงในหลายจุดก็กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการประสานงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้ามาดู รวมทั้งในแง่ของกฎหมายที่จะทำให้คนอยู่กับป่าได้แบบไหน อย่างไร”
หลังจากได้ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ทำกินในเขตป่าทั้งจังหวัด ตัวเลขการคืนป่าบางส่วนเพื่อปลูกกลับคืนเป็นต้นไม้ใหญ่ และความต้องการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรเป็นฐานข้อมูลเพื่อนำไปสู่การดำเนินการด้านนโยบาย และกำกับดูแลในเรื่องของสิทธิทำกินแล้ว สิ่งที่ต้องมองต่อไปในปีหน้าก็คือ แหล่งเงินสนับสนุน
เม็ดเงินที่จะมาช่วยในเรื่องของการหยุดการตัดป่า ชะลอไร่อุตสาหกรรม เตรียมพืชทางเลือก ฟื้นฟูสภาพดิน แหล่งน้ำ และป่าเสื่อมโทรม ชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรในช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงการระดมความรู้จากศาสตร์ทุกแขนงเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรร โดยพิจารณาประกอบกับคู่มือชุมชน ที่แจกไปยังทุกครัวเรือนใน 99 ตำบลเรียบร้อยแล้ว คู่มือนี้จะเก็บรายละเอียดพื้นที่ ปัญหา การทำกิน และอื่นๆ ทั้งหมด
เนื่องด้วยงบประมาณในส่วนนี้หากอยู่ในกลไกของภาครัฐจะเกิดความยุ่งยาก และล่าช้าทั้งในแง่ของการเบิกจ่าย หรือการติดตามผลสัมฤทธิ์ งบดังกล่าวจึงถูกมองไปที่การระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งใน และต่างประเทศผ่านมูลนิธิรักษ์ป่าน่านที่กำลังจะได้เห็นกันในเร็ววันนี้
“การที่จะให้คนหรือประชาชนเปลี่ยนวิถีการทำมาหากินดั้งเดิมมาเป็นปลูกพืชใหม่ๆ มันต้องมีปัจจัยเรื่องเงินเข้ามาช่วยสนับสนุนให้เปลี่ยนผ่าน ถ้าไม่มีปัจจัยด้านนี้ชดเชยให้ เขาก็เลิกวิถีทำกินแบบเดิมไม่ได้ นี่คือความจริง" บัณฑูรยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
โจทย์แก้ป่าที่เปลี่ยนไป
“พื้นที่ต้นแบบการแก้ปัญหาป่าอย่างยั่งยืน” วันนี้ได้กลายเป็นคอนเซปต์สำคัญที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงป่าน่านไปแล้ว
นี่จึงเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญอีกหนสำหรับป่าต้นน้ำน่านนับตั้งแต่ที่มีการเปิดเผยตัวเลข และปัจจัยอันซับซ้อนของปัญหาการรุกป่าที่มีมากว่า 6 ทศวรรษ
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นแนวเขาสูง มีที่ราบอยู่ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มประชากรที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ทั้งที่มีการจัดสรรมาตั้งแต่ก่อนประกาศเขตป่าสงวน และปัญหาปากท้องที่เชื่อมโยงกับการรุกคืบของเกษตรอุตสาหกรรม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ปริมาณต้นไม้ของน่านลดลงอย่างต่อเนื่อง และยิ่งลดอย่างก้าวกระโดดในช่วง 10 ปีให้หลัง
โดยเฉพาะ “ข้าวโพด” แกนหลักในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 4.6 แสนล้านบาทในแต่ละปีให้กับคนน่าน
หรือแม้แต่ “พื้นที่ทำกิน” ที่เหลือเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนน่านมีอยู่ราว 4.7 แสนคนตามทะเบียนราษฏร์ พอๆ กับ พะเยา บึงกาฬ ปราจีนบุรี หรือแม้แต่ กระบี่ จึงทำให้สมการเรื่องความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ทำกินกลายเป็นคำถามที่ยังไม่มีใครตอบมาจนถึงทุกวันนี้
หรือข้อสังเกตถึงปริมาณป่ากว่าร้อยละ 61 ที่เกินกำหนดของนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาลที่ต้องการให้ประเทศมีป่าร้อยละ 40 จนทำให้ป่าน่านกลายเป็น “จำเลยสังคม” ในมุมของการอนุรักษ์ป่าทั้งที่จริงๆ แล้วที่นี่มีความหนาแน่นของป่าเป็นอันดับ 7 ของประเทศเท่านั้น
จะเป็นภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำที่ซ่อนอยู่ในการแก้ไขปัญหาป่าไม้ของประเทศไทย เหมือนอย่างที่หลายๆ จังหวัดในภาคเหนือตอนบนโดน หรือตัวเลข 1.8 ล้านไร่ของป่าที่หายไปก็ยังคงปรากฎบนกระดาษรายงานก็ตาม
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พื้นที่ต้นแบบ” ได้กลายเป็นโจทย์ใหม่ (และใหญ่) สำหรับป่าน่านไปแล้ว
แน่นอนว่า ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความท้าทายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับ “ข้อมูล” ในพื้นที่ ซึ่งหลายตำบลยังคงมีความกังวลในประเด็นการเว้าแหว่งไปของอาณาเขต หรือ ขนาดพื้นที่ที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งยังมีเรื่องของความชัดเจนในสัดส่วนของที่อยู่อาศัย ซึ่งตัวแทนชาวบ้านหลายกลุ่มก็ยังเป็นห่วงอยู่
ยังไม่นับกลุ่มอิทธิพลที่ถือครองพื้นที่ส่วนใหญ่ อย่างที่ ต.ผาสิงห์ ที่ทำกินกว่า 4.5 หมื่นไร่ถูกจับจองโดย 3 ตระกูลใหญ่จาก น่าน หนองคาย และกรุงเทพมหานคร โดยเหลือให้ชาวบ้านได้ใช้สอยเพียง 5 พันไร่เท่านั้น
หรือแม้แต่เรื่องของรายได้ที่ว่า จะปลูกอะไร และปลูกอย่างไรเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในพื้นที่สูงที่สุด ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนแม้แต่ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่เองก็ตาม
เมื่อคำตอบสุดท้ายคือ “พื้นที่ต้นแบบในการแก้ปัญหาป่าอย่างยั่งยืน” เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ความก้าวหน้าของโครงการ-การก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคจึงล้วนอยู่ในความสนใจของสังคมอย่างยิ่ง