กองทุนบัตรทอง เพิ่ม 'ยามะเร็ง 3 รายการ' ลดเสี่ยงมา รพ. ช่วงโควิด
บอร์ด สปสช. อนุมัติยามะเร็ง 3 รายการ ผ่านการพิจารณา อนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติ บรรจุสิทธิประโยชน์บัตรทอง ดูแลผู้ป่วยมะเร็งลดเสี่ยงมา รพ. สอดคล้องสถานการณ์โควิด-19 ประสิทธิผลดีขึ้น ค่ารักษาถูกลง
วันนี้ (14 พ.ค. 64) พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุข ภายใต้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2564 ได้เห็นชอบเพิ่มรายการยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง 3 รายการ ประกอบด้วย ยาเคปไซตาบีน ชนิดเม็ด (Capecitabine /tab), ยาอ๊อกซาลิ พลาติน ชนิดฉีด (Oxaliplatin /injection) และยาอิริโนทีแคน HCL ชนิดฉีด (Irinotecan HCl /injection) ที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) มีผลตั้งแต่วันถัดไป นับจากวันที่ บอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบ
ทั้งนี้ “ยาเคปไซตาบีน ชนิดเม็ด” เป็นยารักษาโรคมะเร็งลำไส้แบบรับประทาน เพื่อให้ผู้ป่วยรักษาที่บ้านได้ จากแต่เดิมต้องมานอนรับเคมีบำบัดที่โรงพยาบาล ช่วยลดความเสี่ยงต่อโอกาสรับเชื้อโควิด19 ให้กับผู้ป่วย โดยที่ประสิทธิผลการรักษาคงเดิม นอกจากนี้ยังใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเต้านม
ส่วนยาอ๊อกซาลิ พลาติน ชนิดฉีด เป็นยารักษาโรคมะเร็งลำไส้และมะเร็งกระเพาะอาหาร และยาอิริโนทีแคน HCL ชนิดฉีด เป็นยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติแล้วเช่นกัน โดยบอร์ด สปสช. อนุมัติบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อใช้ทดแทนยาเดิม นอกจากมีประสิทธิผลที้ดีขึ้นแล้ว ค่าใช้จ่ายรักษายังถูกลงกว่าเดิม
“ยาเคปไซตาบีนใช้รักษาร่วมกับยาอ๊อกซาลิ พลาติน จะช่วยลดระยะเวลาการนอนให้ยาในโรงพยาบาลได้ จาก 1 คืน เหลือเพียง 2 ชั่วโมง และผู้ป่วยจะได้รับยาเคปไซตาบีน ชนิดเม็ดกลับไปกินที่บ้าน ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 เป็นการลดโอกาสรับเชื้อจากโรงพยาบาล และลดภาระการดูแลผู้ป่วยของบุคลากรในโรงพยาบาล นอกจากนี้ในส่วนค่ารักษา หากรักษาตามสูตรเดิม จะมีต้นทุนค่ายารักษา 2.1 แสนบาทต่อคอร์ส แต่สูตรใหม่นี้จะลดต้นทุนค่าเหลือเพียง 1.2 แสนบาทต่อคอร์สเท่านั้น” พญ.ประสบศรี กล่าว