เมื่อมีการตั้งคำถาม 'Sinovac' อาจจะไม่ได้เป็นวัคซีนที่ดีอย่างที่คิด ??

เมื่อมีการตั้งคำถาม 'Sinovac' อาจจะไม่ได้เป็นวัคซีนที่ดีอย่างที่คิด ??

คำถามเกี่ยวกับวัคซีน "Sinovac" มีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ จนทำให้เกิดความสงสัยว่าวัคซีนเชื้อตายที่ฉีดให้แก่บุคลากรด่านหน้า เป็นวัคซีนที่ดี ป้องกันโรคโควิดได้มีประสิทธิภาพหรือไม่?

วันนี้ (20 มิ.ย.2564) เพจ 'Gossipสาสุข' ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของ 'Sinovac'  หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัคซีนโคโรนาแวค (​'CoronaVac' เป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยระบุว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวที่ไม่ค่อยจะดีนักเกี่ยวกับ 'วัคซีนโควิด-19' ประเภทเชื้อตายของบริษัท 'Sinovac'  ซึ่งถือเป็นวัคซีนหลักของไทยขณะนี้ อย่างน้อยก็ 2 เรื่อง..

1.คือข่าวในอินโดนีเซีย ประเทศที่ใช้'Sinovac'เป็นประเทศหลัก พบหมอ – บุลาการทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด-19 แม้จะได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว และในจำนวนนี้ เกิน 10 คน มีอาการหนัก ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล แม้จะยังไม่ชัดว่าด้วยสาเหตุใด แต่ก็อนุมานได้ว่าเป็นเพราะ 'สายพันธุ์เดลต้า'  ที่พบครั้งแรกในอินเดีย และซิโนแวค ป้องกันได้ไม่ดีมากนัก ทำให้เชื้อไวรัส ทะลุภูมิที่วัคซีนให้ไว้ได้

2.เกิดที่ฮ่องกง ในเวลาไล่เลี่ยกัน การศึกษาพบว่าภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 ของผู้ที่ฉีดวัคซีน'Sinovac'ในฮ่องกงนั้นไม่ได้ดีนัก เมื่อเทียบกับวัคซีนหลักอีกตัวของฮ่องกงอย่าง 'Pfizer' พร้อมกับมีคำแนะนำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีน'Sinovac' เร่งฉีดเข็มที่ 3

เรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 'ศบค.' ประกาศว่าจะสั่งซื้อวัคซีน'Sinovac'เพิ่มเติมอีก 28 ล้านโดส ตามแผนวัคซีน 150 ล้านโดส ในปี 2565 เพิ่มเติมจากตอนนี้ที่ทั้งฉีดไปแล้ว และจองไปแล้ว 19.5 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้ไทยมี'Sinovac'เป็นวัคซีนหลักรวม 47.5 ล้านโดส เป็นรองเพียง 'AstraZeneca' ซึ่งมี 61 ล้านโดสในขณะนี้เท่านั้น เรียกเสียงฮือฮาให้กับวงการสาธารณสุขไทย ว่าในเมื่อประสิทธิภาพไม่ได้ดีเทียบเท่ากับตัวอื่น และทั่วโลก มีวัคซีนยี่ห้ออื่นไม่ต่ำกว่าสิบยี่ห้อ เพราะเหตุใดจึงยังยึดติดเฉพาะซิโนแวค

  • หมดเวลา 'Sinovac' ควรฉีดวัคซีนตัวใหม่ให้ด่านหน้า

อันที่จริง Gossipสาสุข เคยเอ่ยถึงไปแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ว่า บุคลากรสาธารณสุขในไทยจำนวนมากนั้น ไม่ไว้ใจ 'Sinovac' เอาเสียเลย ตั้งแต่ช่วงแรกๆ คือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนจะมีการระบาดระลอก 3

เพราะอย่างที่รู้กันก็คือผลทดสอบโดยสถาบัน Butantan ที่บราซิลนั้น พบว่า'Sinovac' มีประสิทธิภาพเพียงแค่ 50% และทั่วโลก ก็แทบไม่มีใครใช้วัคซีนยี่ห้อนี้ ต้องไม่ลืมว่าในเวลานั้น แทบจะอ้างอิงผลการทดลองที่ “เป็นบวก” จากประเทศเดียว คือจากจีน ที่ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันว่าฉีดไปแล้วหลายสิบล้านโดส และก็หยุดยั้งการระบาดของโรคได้ดี

กระนั้นเอง ก็ยังไม่มีผลการทดลองในผู้สูงอายุ ทำให้'Sinovac'ในช่วงแรก ใช้เฉพาะในวัยทำงาน นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รับวัคซีนตัวนี้ หันไปรับ'AstraZeneca'แทน และกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับก็หนีไม่พ้นบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องฉีดไว้ก่อน เพราะถือเป็น “กลุ่มเสี่ยง” มากที่สุด

เช่นเดียวกับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร – ตำรวจ แต่ในเวลานั้น ต้องไม่ลืมว่ามีหลายคนเซ็นเอกสารว่าไม่ขอรับวัคซีนตัวนี้ เพราะเกิดผลข้างเคียงในหลายคน และมีข่าวไม่ค่อยดีว่าเกิดอาการ “อัมพฤกษ์ชั่วคราว” ซึ่งแม้ทีมแพทย์จะออกมาปฏิเสธ แต่ก็ไม่สามารถสร้างความเชื่อใจได้มากนัก

ตลอดเดือน เม.ย. - พ.ค. ไทยแทบจะใช้'Sinovac'เป็นวัคซีนหลัก นอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้ว อีกหนึ่งพื้นที่ที่มีการระดมฉีดซิโนแวคก่อนพื้นที่ใดในประเทศ ก็คือภูเก็ต ซึ่งตั้งใจจะเปิดโครงการ ภูเก็ต Sandbox ในวันที่ 1 ก.ค. ตั้งแต่เดือนเม.ย. ภูเก็ตฉีดวัคซีนให้กับประชากรไปแล้วกว่า 3.5 แสนคน เพื่อเตรียมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งหากจะเข้าไทย ต้องเข้าภูเก็ตก่อนเป็นหลัก ก่อนจะเดินทางไปยังจังหวัดอื่นได้ ซึ่งการฉีดวัคซีนให้กับคนภูเก็ต ก็เพื่อให้คนภูเก็ตมีภูมิพอที่จะรองรับกับชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาจากทั่วโลกได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'วัคซีนซิโนแวค' ช่วยลดอัตราเสียชีวิต 97%

- เปิดแผน! จัดซื้อ'วัคซีน' ชิโนแวค ท่วม 47.5 ล้านโดส 

- เทียบกันชัดๆ 'ซิโนแวค-แอสตร้าฯ' ยี่ห้อไหนฉีดแล้ว ผลข้างเคียงรุนแรงกว่า

  • เมื่อ 'Sinovac' ไม่ได้ดีอย่างที่คิด 

ปัญหาก็คือ เมื่อมีการศึกษาออกมาแล้วว่าภูมิคุ้มกันจาก'Sinovac'ไม่ได้ดีอย่างที่คิด ประกอบกับสถานการณ์การระบาดในไทย มีแนวโน้มที่จะมี'สายพันธุ์เดลต้า' มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสายพันธุ์หลักในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ตามแนวโน้มเดียวกับทั่วโลก เพราะ'สายพันธุ์เดลต้า' นั้น นอกจากจะทะลุทะลวง'Sinovac'แล้ว ยังสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ

นั่นทำให้กลุ่มหลักที่ฉีด'Sinovac'ไปแล้วขณะนี้ คือแพทย์ - บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนที่ฉีดวัคซีนตัวนี้ไปแล้วหลายล้านคน รวมถึงรัฐมนตรีที่ฉีดวัคซีนตัวนี้บางคน อาทิ อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข หรือ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ล้วนมีความเสี่ยงกับโควิด-19 อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนภูเก็ต ที่กลายเป็น “ด่านหน้า” ในการสัมผัสเชื้อนี้กับชาวต่างชาติ ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี เพราะ'สายพันธุ์เดลต้า'นั้น เริ่มระบาดในหลายประเทศทั่วโลกแล้ว และองค์การอนามัยโลก คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดทั่วโลกในไม่ช้า

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งมีบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีด'Sinovac'ครบ 2 เข็มแล้ว ติดโรคนี้ซ้ำ เท่านั้นยังไม่พอ ยังนำเชื้อไปติดคนที่บ้านอีก ซึ่งทำให้เห็นว่าในสถานการณ์แบบนี้ ซิโนแวคอาจไม่ใช่วัคซีนที่ดี และวัคซีนที่มี ก็อาจไม่ใช่วัคซีนที่ดีอีกต่อไป


เพราะฉะนั้น สิ่งที่ 'ศบค.' ควรตัดสินใจในเวลานี้ก็คืออาจต้องเร่งฉีดวัคซีนตัวอื่น (ซึ่งในเวลานี้ มีตัวเดียวคือ'AstraZeneca') ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และประชากรภูเก็ตใหม่อีกรอบ เพื่อเป็นบูสเตอร์ กระตุ้นภูมิคุ้มกันจาก'Sinovac' ที่เวลานี้ เริ่มเห็นชัดแล้วว่ากันสายพันธุ์เดลต้าได้น้อย และแม้แต่สายพันธุ์ธรรมดา ก็กระตุ้นภูมิได้ไม่มากนัก ขณะเดียวกัน ก็ควรพิจารณาสั่งซื้อวัคซีนตัวอื่นๆ โดยเฉพาะวัคซีนชนิด mRNA ได้แล้ว จนกว่าจะมีการศึกษาว่า ซิโนแวค ได้ปรับปรุงวัคซีนตัวเอง หรือมีข้อมูลยืนยันว่าสามารถจัดการกับสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้จริง