เปิดตัว 'สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ' พร้อมประกาศภารกิจยกระดับกำกับกันเอง- ทุกแพลตฟอร์ม
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เดินหน้ากำกับดูแลกันเองสื่อทุกแพลตฟอร์ม ส่งเสริมเสรีภาพบนความรับผิดชอบ พร้อมทำ MOU กับ WISESIGHT (Thailand) สนับสนุนระบบกำกับดูแลด้านจริยธรรม
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จัดงานครบรอบ 24 ปี โดยมีพิธีเปิดตัว “สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ” อย่างเป็นทางการ และลงนามความร่วมมือ ระหว่างสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กับ WISESIGHT (Thailand) Co., Ltd จัดทำ Sosical Listening เพื่อสนับสนุนกระบวนการกำกับดูแลด้านจริยธรรม
ในงานดังกล่าวมีปาฐกถาพิเศษเรื่อง “เทคโนโลยีสื่อในอนาคต กับความท้าทายการกำกับดูแล” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ผู้ปาฐกถาพิเศษ กล่วาในสาระสำคัญ ว่า ระบบภูมิทัศน์ของสื่อใหม่ มีสื่อออนไลน์ มีแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น กูเกิ้ล เฟซบุ๊ค การกำกับดูแลต้องสัมพันธ์กัน ใน 3 รูปแบบ คือ 1. การกำกับตัวเอง ของสหรัฐ 2. การกำกับโดยกฎหมาย ของยุโรป และ 3. การกำกับโดยรัฐของจีน สำหรับประเทศไทยตนมองว่าต้องใช้รูปแบบผสม คือ รูปแบบที่ 1 และแบบที่ 2 ซึ่งยุโรปกำลังอยู่ระหว่างการออกกฎหมายบริการดิจิทัลหรือ Digital Service Act จะเป็นการเปลี่ยนแปลงการกำกับสื่อออนไลน์ครั้งใหญ่ โดยแบ่ง ผู้เกี่ยวข้องเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. ตัวกลางสื่อสาร 2. ผู้ให้บริการโฮสติ้ง 3. แพลตฟอร์ม และ 4. แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ หากตัวกลางสื่อสารนำเสนอเนื้อหาผิดกฎหมาย ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นเท็จ ทำให้ปัญหาจะถูกยกเว้นความรับผิดชอบ หากมีคำสั่งจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือศาลต้องลบทิ้ง โดยจะต้องเปิดเผยข้อมูลสถิติการลบทิ้งให้สาธารณชนได้รับทราบ ส่วนแพลตฟอร์มจะต้องมีกลไกรับเรื่องร้องเรียนและจัดการโดยเร็ว รวมทั้งระงับบริการผู้ใช้ที่สร้างปัญหา ขณะที่แพลตฟอร์มขนาดใหญ่จะต้องมีกลไกประเมินความเสี่ยง
"กลไกของสหรัฐอเมริกาในการกำกับตัวเองเพราะสิทธิการแสดงออกได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ จึงเน้นไปที่กำกับดูแลกันเอง ไม่มีการปิดกั้นแต่ก็ยังมีการถกเถียงว่าเรื่องไหนที่รัฐควรจะเข้าไปแทรกแซงหรือไม่ แต่ไม่มีข้อปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งนี้มีตัวอย่างที่น่าสนใจ คือผู้ประกอบการ เฟซบุ๊ค และ ทวิตเตอร์ ทำการแบนบัญชีของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการชั่วคราวจากการโพสต์หนุนม็อบก่อจลาจล โดยกลไกของ เฟซบุ๊ค มี คณะกรรมการ Oversight Board มาจากบุคคลที่มีชื่อเสียง 20 คน มานั่งเป็นประธานร่วม และมีองค์คณะ 5 คน มีกรอบเวลาการพิจารณา 90 วัน ได้รับงบสนับสนุน 130 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นกลไกการทำงานที่เข้าไปจัดการเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังของเฟซบุ๊ค" ดร.สมเกียรติ กล่าว
ดร.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเร่งด่วน โดยเตรียมยกร่างกฎหมายที่ยึดกฎหมายจากสหภาพยุโรปเป็นต้นแบบ สำหรับบทบาทองค์กรวิชาชีพสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติต้องช่วยเติมเต็ม เพราะบางธุรกิจอาจไม่ทำตาม ดังนั้นทั้งหมดคือโจทย์เปิดเพื่อพิจารณาว่าจะมีมาตรการผสมกันอย่างไรเพื่อกำกับดูแลสื่อให้ปลอดภัยและเป็นประโยชน์กับสังคมมากที่สุด
ภายในงานยังได้จัดเสวนาหัวข้อ “เทคโนโลยีสื่อในอนาคต กับความท้าทายการกำกับดูแล” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ beartai.com, นายนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหาร เดอะแสตนดาร์ด, นายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม หัวหน้ากลุ่มสาขาวิชาวิทยุและโทรทัศน์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมเวทีเสวนา
ทั้งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ นายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในการควบคุมกำกับกันเองของสื่อ เมื่อมีสมาชิกรายใดกระทำผิดก็ใช้วิธีเดินออกไป จากที่เคยเป็นกรรมการในสมาคมสื่อ พยายามประเมินจุดอ่อนและแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้น เพราะหากองค์กรสื่อไม่ศักดิ์สิทธิ์การกำกับกันเองจะได้ผลแค่ไหน และมีคนอยากให้ใช้กฎหมายเข้มงวดเพราะคุณกำกับกันเองไม่ได้ วันนี้มีการยกระดับ มีสมาชิกสื่อออนไลน์ มี เดอะแสตนดาร์ด เข้ามา คนอื่นเริ่มเข้ามาก็จะสะท้อนให้เห็นความน่าเชื่อถือที่มากกว่าเดิม เป็นนิมิตหมายที่ดี โดยการกำกับกันเองเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งการขับเคลื่อนในนามองค์กรก็จะมีพลัง จากที่อยู่ในวงการนี้มานานหัวใจสำคัญของสื่อคือความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ โจทย์ใหญ่คนทำสื่อคือทำให้สังคมเชื่อถือ ข้อมูลต้องได้มาตรฐาน คนชำนาญทักษะเฉพาะด้าน เช่น ดาต้า เจอร์นอลิซึม มีการตรวจสอบข่าวป้องกันไม่ให้เกิดเฟคนิวส์
ขณะที่ ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม หัวหน้ากลุ่มสาขาวิชาวิทยุและโทรทัศน์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความคาดหวังต่อการกำกับตัวเองของสื่อมวลชน ว่า จากการสอบถามข้อมูลทำงานวิจัยจากภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน หลายคนไม่ได้สนใจสื่อแค่สื่อในองค์กรวิชาชีพ ยังมีสื่อจากยูทูป เป็นต้น ดังนั้น องค์กรวิชาชีพสื่อต้องหารือถึงระบบภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ เรื่อง Call Out หรือ โซเชียล เร็กกูเรชั่น แต่ก็มีการตั้งคำถามว่า โซเชียลเรามี “เดอะแสตนดาร์ด” พอหรือยัง
"หลายครั้งบรรยากาศในโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอารมณ์ ตั้งแต่ 2549 แบ่งเป็นกลุ่มก้อนที่เห็นชัด โซเชียลเร็กกูเรชั่น เป็นเรื่องสำคัญ แต่ต้องดูว่าเต็มไปด้วยหลักการ หรือเต็มไปด้วยอารมณ์ ข้อมูลข่าวสารในแต่ละวัน มีทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และ Hate of speed เราต้องการกำกับตัวเอง เดิมมี traditional เดียว มีกองบรรณาธิการเข้มแข็ง แต่พอมีโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างแข่งกับความไว บทบาท กองบรรณาธิการลดลง ละเลยเรื่องจริยธรรม ความรับผิดชอบ เช่น ข่าวลูกผูกคอตายเพราะแม่ไม่มีเงินซื้อแทบเล็ต ที่ขาดการตรวจสอบแม้แต่สื่อใหญ่ ก็ยังนำไปเล่นโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน" ผศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งด้วยว่า เป็นวันสำคัญที่จะเปิดสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติอย่างเป็นทางการ จากยุคอนาล็อค มาสู่ยุคดิจิทัล โดยเริ่มจากสภาการหนังสือพิมพ์ที่ทำหน้าที่มา 23 ปี ได้ยกระดับมาเป็นสภาการสื่อมวลแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกำกับดูแลกันเองของสื่อโดยภารกิจแรกคือการยกร่างข้อบังคับจริยธรรมสื่อให้ครอบคลุมบังคับใช้กับสื่อทุกประเภท ทุกแพลตฟอร์ม และแก้ไขข้อบังคับเรื่องร้องเรียนให้ทันสมัยตอบสนองกับสื่อดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการทำงานเชิงรุก รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและผู้เสียหาย โดยจะะมีระบบติดตามความคืบหน้าที่จะทำงานตามกรอบเวลา
"การทำงานของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ยังให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทั้ง ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ให้มีการปรับตัวทั้งด้านธุรกิจและเนื้อหาภายใต้กรอบจริยธรรม ผ่านกระบวนการปรึกษาหารือ ฝึกอบรม พร้อมทำงานร่วมกับเครือข่ายสื่อมวลชนต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทำงานร่วมกับสภาการสื่อมวลชนอินโดนีเซีย สภาการสื่อมวลชนเมียนมา สภาการสื่อมวลชนติมอร์เลสเต พร้อมทั้งจะขยายความสัมพันธ์ไปยังประเทศอื่นต่อไป ทั้งหมดเป็นการกำกับดูแลและส่งเสริมเสรีภาพ ส่งเสริมสนับสนุนให้สื่อมวลชนปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักเสรีภาพและความรับผิดชอบต่อสังคมต่อไป" นายชวรงค์ กล่าว.