ย้อนรอย ทุจริตเงิน "คนไร้ที่พึ่ง" พม. ปี 61 ยึดทรัพย์กว่า 88 ล้านบาท
จากกรณีนักพัฒนาสังคม ทุจริตเงินนอกระบบงบประมาณ "กระทรวง พม." นับสิบล้านบาท หากจำกันได้ เมื่อปี 61 เคยมีคดีการ "ทุจริต" ในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น โดยขณะนั้นมีการยึดและอายัดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องกว่า 88 ล้านบาท
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 นิสิต ม.มหาสารคาม ได้แจ้งแก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เกี่ยวกับการทุจริตในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น โดยวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ให้นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ นายณรงค์ คงคำ รองปลัดพม. ให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการสำนักนายกฯ โดยข้อความส่วนหนึ่งใจความว่า
"ด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับแจ้งข้อมูลจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินกรณีตรวจพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงมาแล้วคณะหนึ่ง ผลการสืบตรวจพบความผิดปกติจริง แต่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม"
"โดยที่ความผิดปกติดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการของข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และอาจเกี่ยวพันกับข้าราชการในวงกว้างซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป..."
- ยักยอกเงินผู้ยากไร้
จากการตรวจสอบ พบมีการนำรายชื่อชาวบ้าน เอกสารบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ไปเบิกเงินโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน หรือเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มรายได้ไม่เพียงพอต่อการครองชีพ รายละ 2,000 บาท เงินสงเคราะห์ผู้ติดเชื้อเอดส์รายละ 2,000 บาท และทุนประกอบอาชีพของผู้มีรายได้น้อย รายละ 3,000 บาท แต่จ่ายเงินจริงให้เพียงรายละ 1,000 บาท เท่านั้น หรือบางรายไม่ได้รับเงินเลย
ราวต้นเดือน มิ.ย. 61 คณะกรรมการธุรกรรม มีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการตรวจสอบ พบว่า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ 3 คน ได้แก่ นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายณรงค์ คงคำ อดีตรองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีพฤติการณ์ทุจริตการยักยอกเงินช่วยเหลือคนยากไร้
มีลักษณะการทำงานเป็นขบวนการผ่านทางการจัดสรรเงินงบประมาณลงไปยังศูนย์และหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดทั่วทุกภาค และมีการจัดทำเอกสารการเบิกจ่ายเงินงบประมาณอันเป็นเท็จ โดยนำเงินที่ได้จากการทุจริตเบิกจ่ายส่งกลับคืนไปยังผู้บริหารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการในขณะนั้น และแปลงเงินไปเป็นทรัพย์สินในรูปแบบอื่นให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ เช่น ที่ดิน ห้องชุด รถยนต์หรู เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร และหลักทรัพย์ต่างๆ
- ยึดทรัพย์กว่า 88 ล้านบาท
คณะกรรมการธุรกรรมในคราวประชุมเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 61 มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของนายพุฒิพัฒน์ นายณรงค์ และนายธีรพงษ์ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลดังกล่าว ประมาณ 12 คน อาทิ ที่ดิน ห้องชุด รถยนต์หรู เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร และหลักทรัพย์ต่างๆ รวม 41 รายการ มูลค่าประมาณ 88 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
- นายพุฒิพัฒน์ ปลิดชีพตัวเอง
สายวันที่ 29 มิ.ย. 2561 นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และภรรยา ได้กินยาฆ่าตัวตายที่บ้านพักในหมู่บ้านชื่อดัง จ.ปทุมธานี ก่อนที่ผลสอบสวนวินัยร้ายแรง กำลังจะเสร็จสิ้นในอีกแค่หนึ่งวัน (30 มิถุนายน)
- ความผิดทุจริต
ข้อมูลจาก ปปง. ระบุว่า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการทุจริตในหน้าที่ นอกจากจะถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้ว หากผู้ใดมีพฤติการณ์ในการรับ หรือโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการทุจริต ก็อาจต้องถูกดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงิน ซึ่งมีโทษจำคุก 10 ปี ต่อการโอนหรือรับโอน 1 ครั้ง กล่าวโดยสรุปแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต นอกจากจะถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว ตัวผู้กระทำความผิดเอง ผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ หรือนอมินี ที่รับโอนทรัพย์สินจากผู้กระทำความผิดทุกคนอาจต้องถูกลงโทษจำคุกในความผิดฐานฟอกเงินด้วย
- ไล่ออก 11 คน โกงเงินคนจน
หลังจากนั้น ในเดือน ส.ค. 61 ที่ประชุม คณะอนุกรรมการสามัญประจำ กระทรวง พม. ได้พิจารณาและมีมติเห็นด้วยตามที่คณะ กรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงผู้เกี่ยวข้อง 26 คน ในจำนวนนี้เป็นโทษไล่ออกจากราชการ 6 คน ปลดออก 5 คน กันไว้เป็นพยาน 15 คน
นอกจากนี้ ได้พิจารณาในส่วนของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เสนอเข้ามาพิจารณาอีก 5 คน ทั้ง 5 คน มีโทษไล่ออกจากราชการ รวมพิจารณาโทษทั้งหมด 31 คน เป็นโทษไล่ออก 11 คน เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่จงใจดำเนินการให้เกิดการทุจริต ส่วนที่อยู่ในขั้นตอนทำให้เกิดการทุจริตแต่ไม่ทุจริตก็มีโทษปลดออก
- "พม." ไม่ทนต่อการทุจริต
ทั้งนี้ เมื่อเดือนธันวาคม 2562 คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และผู้ปฏิบัติงานสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านคอร์รัปชัน ภายใต้แนวคิด พม. ไม่ทนต่อการทุจริต (M-Society Zero Tolerance) เนื่องในวันต่อต้าน คอร์รัปชั่น สากล (International Anti – Corruption Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี
สำหรับ กระทรวง พม. โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ได้ดำเนินโครงการแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชัน พม. ไม่ทนต่อการทุจริต (M-Society Zero Tolerance) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. มีแนวทางในการปฏิบัติราชการตามเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันของกระทรวง พม. และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของผู้บริหารที่ปลุกกระแสสังคมให้ไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ
อีกทั้ง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจในระบบราชการตามหลักธรรมาภิบาล อันเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการตามเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างแท้จริง
- นักพัฒนาสังคม ยักยอกเงินนอกงบประมาณ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย ร่วมกับตำรวจสน.พญาไท และ ตำรวจ บก.ปปป. จับกุม "นายพิศาล สุขใจธรรม" นักพัฒนาสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ปฎิบัติหน้าที่หัวหน้างานการเงินและบัญชี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ข้อหาฉ้อโกง ขณะนายพิศาล กำลังจะหลบหนีออกนอกประเทศ
หลังตัวแทนของ กระทรวง พม. ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.พญาไท ไว้เมื่อวันที่ 14 กันยายน ว่าพบความผิดปกติ มีการโอนเงินที่ใช้ดูแลกลุ่มเปราะบาง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน เข้าบัญชีส่วนตัว เป็นจำนวนเงินกว่า 13 ล้านบาท โดยมีการปลอมบัญชีเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ ก่อนหลบหนีไปทางภาคเหนือ
- รมว.พม. ยืนยันจะไม่ไว้หน้าผู้ทุจริต
ด้าน “นายจุติ ไกรฤกษ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า เรื่องการทุจริตในหน่วยงานของกระทรวง พม. ยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ และตนซึ่งเป็นรัฐมนตรีจะไม่ไว้หน้าผู้ทุจริตไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือเป็นข้าราชการระดับไหน รัฐบาลยืนยันชัดเจนว่าปราบทุจริต และวันนี้ผู้ที่กระทำความผิดได้ให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยจะมีการอายัดทรัพย์ ซึ่งตนได้ให้นโยบายไว้ว่าให้รื้อระบบที่ผ่านมาทั้งหมดของทุกกรมในสังกัด พม.
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าเงินที่ถูก ยักยอก จำนวนนี้ไม่ใช่เบี้ยพิการ แต่เงินส่วนนี้เป็นเงินนอกงบประมาณ สำหรับประกันสัญญาเวลาที่คนมาทำงานร่วมกับกระทรวง ขณะนี้ ผู้รับผิดชอบให้ออกจากราชการไว้ก่อน และมีการอายัดทรัพย์ และให้รื้อระบบที่ผ่านมาให้หมด ของทุกกรมในกระทรวง พม. และสลับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้ เปลี่ยนทีม สลับทีม เพื่อให้เรียนรู้งานใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเคยชินกับการทำงานแบบเดิม เพื่อป้องกันการทุจริตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับประชาชน
- ย้ำ ไม่ให้มีเรื่องเหมือนปี 61 อีก
“สำหรับเงินที่ทุจริตไปประมาณสิบกว่าล้านบาท แต่ตัวเลขแน่ชัดว่าเท่าไหร่ต้องรอให้สอบสวนเสร็จก่อน เพราะทุกคนก็ต้องอยากรู้ว่าความจริงเสียหายเท่าไหร่ ดังนั้น เราจะยังไม่พูดในสิ่งที่ยังไม่มีตัวเลขจริง โดยเรียนกับ ปลัด พม. แล้วว่า ไม่ว่าผลสอบจะไปเจอใคร ขอโทษล่วงหน้าว่าไม่ไว้หน้าอิฐหน้าพรหม กระทรวงนี้ต้องไม่ให้มีเรื่องเหมือนกับปี 2561 อีก” รมว.พม. กล่าว
- รื้อระบบ แก้จุดอ่อน
พร้อมกันนี้ รมว.พม. กล่าวย้ำว่า ขณะนี้สิ่งที่ทำ คือ ต้องเอาทุกหน่วยงาน ทุกกรม ให้ไอที ออดิท เข้าไปดู และมีออนไซน์ ออดิท เข้าไปตรวจจริง ต้องรื้อระบบการอนุมัติทั้งหมด เปลี่ยนพาสเวิร์ดทั้งหมด เปลี่ยนขั้นตอนใหม่ เปลี่ยนบุคคลใหม่ แต่หากดูว่าระบบดีอยู่แล้ว เพียงแต่คนทุจริต ก็ต้องเปลี่ยนที่คน หากดูแล้วตรงไหนมีจุดอ่อนก็ต้องปิดจุดอ่อนตรงนั้น หากจุดอ่อนเป็นเรื่องของระบบ ก็ต้องแก้ที่ระบบ หากจุดอ่อนเป็นเรื่องคน ก็ต้องแก้ที่คน
อ้างอิง : Thaipbs , Thairath , องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน , ประชาชาติธุรกิจ , สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน