นักเรียนชายส่อฉีด"วัคซีนไฟเซอร์"เพียง 1 เข็ม สธ.ติดตาม2สัปดาห์ก่อนประเมิน

นักเรียนชายส่อฉีด"วัคซีนไฟเซอร์"เพียง 1 เข็ม สธ.ติดตาม2สัปดาห์ก่อนประเมิน

สธ.เผยอีก 2 สัปดาห์ วัคซีนไฟเซอร์ส่งมอบรวม 5 ล้านโดส พุธนี้ 1.5 ล้านโดส สัปดาห์หน้า 1.5 ล้านโดส เร่งกระจายถึงอำเภอครบตามจำนวนต้องการฉีด  จับตาอาการข้างเคียงใกล้ชิด 2 สัปดาห์ ก่อนรวบรวมข้อมูลพิจารณานักเรียนชายฉีดไฟเซอร์เพียงเข็มเดียว

เมื่อเวลา  09.30 น. วันที่ 4 ต.ค.2564 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) ให้สัมภาษณ์ประเด็นการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้ผู้ที่มีอายุ  12 ปีขึ้นไปว่า  ตอนนี้วัคซีนที่มีการยอมรับเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยในประเทศไทยมีหลายตัว แต่ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)อนุญาตให้ฉีดในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ ในประเทศไทยมีตัวเดียวคือ วัคซีนไฟเซอร์ และ โมเดอร์นาแต่ยังไม่เข้ามาและไม่ใช่วัคซีนหลักที่รัฐบาลจัดหา ดังนั้น เมื่อได้รับวัคซีนไฟเซอร์มาจากการสั่งซื้อ จึงมีการเร่งรัดฉีดให้นักเรียนที่อายุ12ปีขึ้นไป ซึ่งสอดคล้องกับต่างประเทศ เช่น อเมริกาหรือยุโรปหรือองค์การอนามัยโลก ที่แนะนำให้ฉีดในกลุ่มนี้ได้
         ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้แจ้งกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ว่ามีนักเรียน/นักศึกษาเข้าข่ายประมาณ 5 ล้านคน เมื่อดำเนินการสำรวจความสมัครใจในการรับวัคซีนโควิด-19ของผู้ปกครองและนักเรียนพบว่า 80%หรือประมาณ  4 ล้านคนสมัครใจเข้ารับวัคซีน ซึ่งในการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ ส่วนกลางจะจัดส่งไปยังพื้นที่ตามจำนวนที่แจ้งยอดนักเรียน/นักศึกษาที่สมัครใจ อย่างไรก็ตาม วัคซีนไฟเซอร์ระบบการจัดเก็บยุ่งยากกว่าวัคซีนตัวอื่น จะต้องเก็บในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส เมื่อนำมาเก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสได้แค่ 30 งวันหรือ 1 เดือน 

วัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกที่มาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2564 จำนวน 2 ล้านโดส เมื่อตรวจสอบคุณภาพเรียบร้อย วันที่ 30 ก.ย. ได้กระจายวัคซีนลงไปทุกอำเภอของประเทศไทย เพราะโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนอยู่มีทุกอำเภอ แต่บางอำเภอได้รับก่อนหลังขึ้นกับแต่ละจังหวัดได้ตกลงกัน ซึ่งล็อตแรกได้กระจายไปยังโรงเรียนแล้ว แต่อาจจะยังไม่ทุกโรงเรียน เนื่องจากนักเรียนที่สมัครใจฉีดมี 4 ล้านคน
     อย่างไรก็ตาม วันพุธที่ 6 ต.ค.นี้จะมีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาอีก  1.5 ล้านโดส จะเร่งกระจายและในสัปดาห์หน้าเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส ฉะนั้นในอีก 2 สัปดาห์จะกระจายวัคซีนออกไปได้ทั้งหมดครบตามจำนวนที่นักเรียนจะฉีด การฉีดก็จะทยอยไป จากนั้นก็มีการติดตามอาการ ไม่พึงประสงค์

        นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า ในส่วนการติดตามเรื่องผลข้างเคียง โดยเฉพาะวัคซีนmRNA ที่มีความเป็นห่วงมากที่สุด คือ  ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ส่วนใหญ่จะมีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือเหนื่อย และอุบัติการเกิดข้อมูลทั่วโลก ประมาณ 6 ในแสนการฉีด โดยเฉพาะในเด็กผู้ชายจะเจอมากกว่า ส่วนใหญ่จะหายเองได้  มีส่วนน้อยที่ต้องเข้ารับการรักษาในรพ. ซึ่งขณะนี้เมื่อดูประสิทธิภาพและความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าฉีดวัคซีนมีประโยชน์มากกว่า จึงเป็นแนวนโยบายว่าเร่งฉีดในเด็กนักเรียน ควบคู่ไปกับการติดตามอาการไม่พึงประสงค์อย่างใกล้ชิด

     “สำหรับเด็กผู้หญิงข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อว่าปลอดภัย คำแนะนำตอนนี้ ในผู้ที่อายุ 12 ปีขึ้นไป ให้ฉีดวัคซีนได้ 2 เข็ม ส่วนเด็กชายให้ฉีดก่อน 1 เข็ม และจะประเมินข้อมูลอีกครั้งใน 2 อาทิตย์ถัดไป ว่าจะฉีดเข็ม 2 ต่อหรือไม่อย่างไร โดยจะใช้ข้อมูลจากในประเทศและรวบรวมจากข้อมูลทั่วโลกมาประเมินด้วย " นพ.โอภาส กล่าว
 

     กรณีนักเรียนที่ยังไม่ได้แจ้งความประสงค์จะรับวัคซีนและเด็กนอกระบบการเรียนการสอนปกตินั้น นพ.โอภาส กล่าวว่า สามารถแจ้งความประสงค์ในภายหลังได้ โดยไม่มีระยะเวลาหมดเขต และนักเรียนไม่ได้เสียสิทธิการรับวัคซีนแต่อย่างใด ส่วนนักเรียนนอกระบบการเรียนการสอนปกติ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านแล้วจะมีการนัดหมายเข้ารับการฉีดต่อไป ซึ่งรวมถึง นักเรียนต่างชาติ โรงเรียนสอนศาสนา ที่ประสงค์ให้นักเรียนรับวัคซีนก็สามารถแจ้งได้เช่นกัน

      กรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยที่อายุไม่ถึง 18 ปีก็สามารถแจ้งความประสงค์ที่จังหวัดหรือหน่วยบริการสาธารณสุขได้เช่นกัน รวมถึง นักเรียนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งโดยทั่วไปจะฉีดวัคซีนสูตรไขว้ซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าฯ  แต่หาในโรงเรียนนั้น นักเรียนได้ฉีดไฟเซอร์กันหมด ก็ให้อนุโลมฉีดไฟเซอร์ให้นักเรียนที่อายุ 18 ปีได้
       “ก่อนหน้านี้ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่เป็นล็อตบริจาค 1.5 ล้านโดสให้กลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงหรือมีโรคประจำตัว ซึ่งฉีดเด็กไปแล้ว 1.3 แสนราย  พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 4 ราย  ทั้งหมดหายแล้ว ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป โดยในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานเกิด 6 ในแสนการฉีด โดยเฉพาะในเด็กผู้ชายจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะเกิดหลังการฉีดเข็มที่2 “นพ.โอภาสกล่าว 

       เมื่อถามว่าการฉีดวัคซีน 1 เข็ม ประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อเพียงพอหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า การฉีด 2 เข็มประสิทธิภาพดีกว่า แต่ผลข้างเคียงก็มากกว่า ขึ้นกับการชั่งระหว่างผลดีและผลเสีย แต่ยืนยันว่าผลดีมากกว่า ส่วนผลเสียและผลข้างเคียงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในเด็ก จึงต้องติดตามข้อมูลดูอีกครั้ง  ซึ่งการฉีดในเข็มแรกคาดว่าไม่มีปัญหา คงฉีดได้ตามแผน แต่ก่อนจะเริ่มเข็ม 2 จะต้องรวบรวมข้อมูลที่ฉีดจริงในประเทศไทยและข้อมูลทั่วโลก มาประมวบอีกครั้ง

         ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่เด็กรับวัคซีนโควิด-19แล้ว แต่ผู้ปกครองจองวัคซีนโมเดอร์นาไว้ และอาจจะได้เข้ามาในพ.ย.64  นพ.โอภาส กล่าวว่า การให้วัคซีนเป็นไปตามความสมัครใจ ดังนั้นผู้ปกครองต้องดูข้อมูลต่างๆให้รอบด้าน คำแนะนำตอนนี้เป็นการฉีดวัคซีนตามกำหนด ส่วนจะฉีดเข็ม 3 เพื่อกระตุ้น ก็ต้องรอข้อมูลวิชาการ ใช้หลักการแพทย์พิจารณาเป็นหลัก ซึ่งวัคซีนโควิด-19 ยังเป็นเรื่องใหม่ บางข้อมูลที่มียังไม่ชัดเจน ต้องอาศัยหลักวิชาการประกอบกับข้อมูล ส่วนจะต้องเว้นไป 3 เดือนหรือไม่ จะต้องให้คณะผู้เชี่ยวชาญออกคำแนะนำอีกครั้ง แต่ตามหลักการแล้วการฉีดวัคซีน mRNA นั้น การฉีดเข็ม 3 จะเว้นไป 3-6 เดือน แต่โดยหลักการฉีดวัคซีนยิ่งฉีดห่างกันการกระตุ้นจะดีกว่า แต่โอกาสที่จะติดเชื้อก็มี ต้องชั่งใจระหว่าง 2 เรื่องนี้  

     " รัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19ไว้ให้เพียงพอ ถึงปลายปีนี้อีกประมาณ 120 ล้านโดส รวมวัคซีนซิโนฟาร์ม ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ อีกเกือบ 50 ล้านโดส ฉะนั้น ตอนนี้มีประมาณ 170 ล้านโดสแล้ว หากฉีดคนละ 2 เข็ม ก็เชื่อว่าคนไทยทุกคนได้ฉีดครบถ้วน รวมถึงชาวต่างชาติด้วย เชื่อว่า หากฉีดไปตามแผน จะมีวัคซีนเพียงพอให้กับทุกคน ส่วนการจะเลือกวัคซีนอะไรขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ ชั่งใจอยู่ 2 อย่าง คือ 1.ถ้าฉีดช้าก็มีโอกาสติดเชื้อก่อน

2. ตอนนี้รัฐบาลมีวัคซีนทุกชนิด ทั้งเชื้อตาย mRNA หรือไวรัลเวกเตอร์ เชื่อว่าประเทศไทยมีจะวัคซีนฉีด น่าจะมากชนิดที่สุดในโลก เกือบทุกยี่ห้อ ก็สามารถเข้ารับวัคซีนได้" นพ.โอภาส กล่าว