เจาะลึกช่องว่าง การศึกษาไทย  ชี้ใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19

เจาะลึกช่องว่าง การศึกษาไทย  ชี้ใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19

“ศ.นพ.วิจารณ์” เผยเหตุนโยบายและวิธีปฏิบัติสร้างช่องว่างและความด้อยโอกาสให้โรงเรียนห่างไกล   คาดผลลัพธ์การเรียนรู้เฉลี่ยของเด็กไทย ไม่เกิน 30% เสนอทางออกโรงเรียนพัฒนาตนเอง ชูครูเป็น ‘ผู้ก่อการ’ ร่วมพัฒนาระบบการศึกษาในทุกระดับ

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)  ร่วมกับ 11 เครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง ได้แก่  มูลนิธิเพื่อทักษะแห่งอนาคต  มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มูลนิธิลำปลายมาศพัฒนา  มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม  มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี   มหาวิทยาลัยนเรศวร ศูนย์ยวพัฒน์ มูลนิธิรัฐบุรุษฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์  มูลนิธิสยามกัมมาจล และ 11.สพป. สุรินทร์ เขต 2 ซึ่งมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจ จำนวน  659 แห่งทั่วประเทศ จัดเสวนาออนไลน์  “โรงเรียนเปลี่ยนใหม่  ปิด Gap ห้องเรียนยุคโควิด-19 ครั้งที่ 1” 

เจาะลึกช่องว่าง การศึกษาไทย  ชี้ใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษา คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และประธานอนุกรรมการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ กล่าวว่า  Learning Loss ภาวะการเรียนรู้ถดถอย  Learning Gap ช่องว่างการเรียนรู้  เกิดขึ้นในระบบการศึกษาไทย มานานและมากกว่าที่เกิดขึ้นจากโควิด -19  แต่หลายฝ่ายไม่รู้ตัว เป็นช่องว่างที่ต้องปิดเพื่อทำให้อย่างน้อยนักเรียนทุกคนต้องบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ขั้นต่ำ   นี่เป็นเป้าหมายที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ประเทศที่คุณภาพการศึกษาดีทำได้ แต่ไม่ใช่ที่ประเทศไทยทำอยู่ในปัจจุบัน ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ความเชื่อและเปลี่ยนระบบ   เรื่องนี้เป็นเป้าหมายของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเองที่กสศ.ร่วมกับ สพฐ. ตชด. อปท. สช. และ11เครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง  

 

  • ช่องว่างการศึกษาแก้ได้ด้วยครู

ช่องว่างทางการศึกษามีมากกว่าและใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19  เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการของการศึกษาของเรา ไม่ใช่แค่ประเทศไทย อีกกว่าครึ่งโลกก็เป็น แต่หลายประเทศ รู้ตัวและหาทางแก้ไข  ประเทศฟินแลนด์ ใช้เวลากว่า 30 ปี  จัดระบบที่ให้นักเรียนไม่ว่าอยู่ห่างไกลแค่ไหน แต่ต้องได้รับการศึกษาที่คุณภาพเท่าเทียมกัน  เรื่องนี้สามารถทำได้ในประเทศไทย แต่ต้องเป็นนโยบาย  ของไทยขณะนี้ แม้ว่าต้องการให้เท่าเทียม แต่วิธีปฏิบัติสร้างความแตกต่าง สร้างความไม่เท่าเทียม สร้างความด้อยโอกาสให้แก่โรงเรียนที่อยู่ห่างไกล นี่คือปัญหา  เช่น ทุกโรงเรียนได้รับงบประมาณแบบเดียวกัน เหมือนกันหมดทั้งประเทศ นโยบายนี้สร้างช่องว่าง  โดยไม่รู้ตัว ในนามของความหวังดี แต่จริงๆ แล้วคือนโยบายที่ไม่ดี”  ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว 

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า การเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าครูไม่เรียนรู้จากการทำหน้าที่ของตน นี่คือหัวใจ ในโลกปัจจุบันการศึกษา การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมากทั้งมุมของเด็ก และครู

เจาะลึกช่องว่าง การศึกษาไทย  ชี้ใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19

ดังนั้นแม้ครูเรียนมาจากสถาบันที่เก่งเท่าไหร่ พอมาทำงาน ความรู้ประสบการณ์เหล่านั้นไม่พอ ต้องเรียนรู้เพิ่ม ต้องเรียนรู้จากการทำหน้าที่ครู ครูต้องเป็นนักเรียน เรียนจากการทำงานในหน้าที่ครู เรียนร่วมกัน  ดังนั้นโรงเรียนต้องเป็นชุมชนการเรียนรู้ (learning community)  ทั้งของครูและของศิษย์

ผมเชื่อว่าผลลัพธ์การเรียนรู้ของเด็กไม่มีวันเต็ม100% เด็กแต่ละคนเต็มไม่เท่ากัน  ผมเข้าใจว่า ขณะนี้โดยเฉลี่ยของเด็กไทย น่าจะไม่ถึง 30% เด็กเก่ง อาจไม่ถึง 80-90% แต่จะมีเด็กบางคนอาจได้แค่10-20%  ไม่ใช่พูดให้ท้อถอย หรือตำหนิใคร แต่ชี้ให้เห็นว่า ครู โรงเรียน มีโอกาสที่จะพัฒนาอีกมากมาย ช่วยกันหาทาง เพื่อให้นักเรียน เรียนรู้ เต็มศักยภาพยิ่งขึ้น” ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว  

 

  • "ครู" ผู้ก่อการ แก้ปัญหาการศึกษาไทย

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า  ถ้าปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนดี หลายครั้งนักเรียนที่หงอย ไร้แรงบันดาลใจ กลายเป็นคนมีชีวิตชีวา เท่ากับว่าครูได้ชุบชีวิตของนักเรียนขึ้นมา กรณีเด็กเกเร ครูก็สามารถช่วยได้ โดยการใช้เรื่องของปฏิสัมพันธ์เชิงบวก  นอกจากนี้ ยังมีช่องว่างที่เกิดขึ้นจากการใช้ปฏิสัมพันธ์แบบนายกับลูกน้องระหว่างครูกับผู้บริหาร ปฏิสัมพันธ์แบบแนวดิ่ง เชิงอำนาจ เป็นตัวบั่นทอนคุณภาพการศึกษา เป็นคำพูดของนักการศึกษาทั่วโลกที่ทำวิจัยมา และชี้ให้เห็นว่า การสร้างเงื่อนไข กติกา ออกข้อบังคับ ออกหลักสูตรให้ดีอย่างไรแต่ครูไม่เป็นครูผู้ก่อการ  ทำงานเพื่อสนองนาย สนองคำสั่ง  ระบบการศึกษาไม่มีวันที่มีคุณภาพได้  นี่คือผลการศึกษาวิจัยจากทั่วโลก   

ดังนั้น ความเป็นกัลยาณมิตร ระหว่างผู้บริหารกับครู นั้นหมายความว่า ปฏิสัมพันธ์เน้นความเป็นแนวราบ ผู้บริหารต้อง Empower ครู  ไม่ใช่สั่งการครู  ทำให้ครูมีพลังขึ้นมา  เพื่อจะทำงานพัฒนา ครูนั้นไม่ใช่เป็นเพียงผู้ทำงานเชิงเทคนิค หรือสอนเท่านั้น แต่เป็นผู้ทำงานพัฒนาในทุกระดับ  จนถึงระดับจังหวัดระดับประเทศ ครูเป็นผู้มีส่วนร่วมพัฒนาระบบการศึกษาในทุกระดับ  ไม่ใช่แค่ผู้รอรับคำสั่งจากเบื้องบนเท่านั้น

เจาะลึกช่องว่าง การศึกษาไทย  ชี้ใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19

สำหรับช่องว่างระหว่างต้นสังกัดใหญ่ โรงเรียนและครู นั้นต้องร่วมกันสร้างสัมพันธ์แนวราบในระบบการศึกษา เป็นเครือข่ายสร้างสรรค์ ไม่ใช่สายการบังคับบัญชา  เพื่อให้ทุกจุดของระบบมีพลังสร้างสรรค์  เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ระบบการศึกษาไทยไปถูกทาง เป็นระบบที่เรียนรู้และปรับตัว การศึกษาไทยปัจจุบันเป็นระบบที่ไม่มีการเรียนรู้ เพราะสั่งการจากเบื้องบนหมด ข้างล่างปฏิบัติตามคำสั่งและมีการมาตรวจวัด  ไม่มีวันที่เราจะทำให้การศึกษามีคุณภาพอย่างแท้จริง 

ถ้าการศึกษาใดครูไม่เป็นผู้ก่อการ  หวังยากมากที่จะทำให้การศึกษานั้นมีคุณภาพสูง หัวใจสำคัญ คือ อยู่ที่ความเป็นผู้ก่อการ (agency) ในระดับปฏิบัติ แต่แน่นอนว่า ระดับนโยบายมีความสำคัญด้วย นโยบายที่ทำให้เกิดขึ้นได้ คือนโยบายแบบ empowerment  ความสัมพันธ์แนวราบศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว

  • 5มาตรการฟื้นฟูเรียนรู้ถดถอย

ในช่วงการเสวนาออนไลน์ในประเด็นการฟื้นฟูการเรียนรู้ถดถอย จากประสบการณ์เครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง   ดร.นรรธพร จันทร์เฉลี่ย เสริบุตร CEO Starfish Education หนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQP) กล่าวว่ามาตรการฟื้นฟูการเรียนรู้ถดถอย มี 5 ด้าน สำคัญ  ได้แก่

1.การประเมินสภาพแวดล้อมเด็กและครอบครัวทั้งระบบ  ผู้ปกครองและครูสามารถช่วยกันประเมินความพร้อมของเด็กเป็นรายคน

2.การวางแผนของโรงเรียนทั้งระบบ เพื่อฟื้นฟูการเรียนถดถอย เรื่องนี้ไม่สามารถทำแค่ครูบางคน บางชั้นเรียน เพราะเด็กทุกคนได้รับผลกระทบทั้งหมด ดังนั้น ต้องวางแผนระดับโรงเรียน ทั้งระบบงาน มีทีม ทรัพยากร และงบประมาณ 

เจาะลึกช่องว่าง การศึกษาไทย  ชี้ใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19

3.สนับสนุนเครื่องมือและการพัฒนาครู  เช่น พัฒนาศักยภาพและสนับสนุนเครื่องมือเพื่อประเมินช่องว่างการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับเด็กรายคน และจัดการเรียนการสอนช่วยเด็กๆได้ รวมถึงการสร้างสื่อการเรียนรู้ 

4.การช่วยเหลือนักเรียนรายบุคคล  เพราะสถานการณ์ที่บ้านของเด็กมีความต่างกัน  ต้องประเมินเพื่อจัดการเรียนการสอนเป็นรายบุคคล  หรืออย่างน้อยที่สุดจัดการเรียนการสอนเป็นรายกลุ่มเพราะเราไม่สามารถใช้แผนเดียวทั้งห้องเรียนได้ 

 5.การติดตามและปรับปรุง ต้องทำในระยะสั้น ทำไปปรับไป เพื่อให้ทันสถานการณ์

  • ถอดบทเรียนนโยบายต่างประเทศ

ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวถึง หลายประเทศให้ความสำคัญกับการวัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) เพราะเด็กกลับมาด้วยพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน ครูต้องสามารถประเมินรายคนได้  ควรได้รับการติดตามและเยียวยาเป็นรายบุคคลจนพัฒนาการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ 

เจาะลึกช่องว่าง การศึกษาไทย  ชี้ใหญ่กว่าช่องว่างโควิด-19

มีตัวอย่างนโยบายในระดับชาติที่น่าสนใจจำนวนมากเพื่อลดช่องว่างการเรียนรู้  เช่น  โครงการ Teach at the Right Level (TRL) ขององค์กร Pratham ในอินเดีย ประเมินความรู้ของเด็กว่าอยู่ที่ระดับไหนเพื่อสอนให้เด็กคนนั้นฟื้นฟูความรู้กลับมา  และสร้างอาสาสมัครชุมชน ช่วยสอนเสริมให้เด็กที่เรียนตามไม่ทัน  ขณะที่ในเอเชียใต้ แอฟริกา ก็ใช้อาสาสมัคร ช่วยสอน เพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยน้อง ติดตามเพื่อนกลับเข้าห้องเรียน 

องค์กร BRAC ในบังคลาเทศ มีโครงการ Pashe Achhi หรืออยู่ข้างคุณ  ช่วยเหลือสนับสนุนดูแลสุขภาพจิต (Psychosocial)  โดยการโทรศัพท์ไปคุยเพื่อสำรวจให้กำลังใจ ผู้ดูแลและพ่อแม่เด็กทุกสัปดาห์  

สำหรับประเทศที่มีงบประมาณจำนวนมาก เช่น อังกฤษ รัฐบาลตั้งกองทุนงบประมาณ 1 พันล้านปอนด์ ชื่อ educational catch-up initiatives เพื่อให้โรงเรียนได้นำไปใช้ให้มั่นใจว่านักเรียนสามารถฟื้นตัวกลับมาได้

นอกจากนี้รัฐบาลยังจัดให้มีโครงการ National Tutoring Programme โดยโรงเรียนสามารถจ้างติวเตอร์เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่มีช่องว่างการเรียนรู้  มีการจัด in-house mentor ให้กับกลุ่มนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ยากลำบาก ซึ่งผู้มาเป็น mentor จะต้องผ่านการอบรมเป็นการเฉพาะ รวมถึงกลุ่มนักศึกษาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ขณะที่เวลส์ มีการรับสมัครครู และผู้ช่วยสอนเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเหลือนักเรียน และกลุ่มด้อยโอกาส เปราะบางในทุกกลุ่มอายุ