เปิด "สถานบันเทิง ผับ บาร์" ก่อน 16 ม.ค.2565 ต้องทำอย่างไร?

วันนี้ (26 พ.ย.2564) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์โควิด-19 ประจำวัน ว่าพบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 6,559 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 5,543 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 225 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 752 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 39 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 2,066,023 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) และมีผู้เสียชีวิต 64 ราย

ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 เมื่อพิจารณาผู้ป่วยรายใหม่รายวัน พบว่า จำนวนผู้ป่วยต่ำกว่าสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ แต่มีข้อสังเกตว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่มีโอกาสมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ และผู้เสียชีวิตใกล้เคียงกับจำนวนผู้ป่วยโควิดและผู้เสียชีวิตที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น จึงเป็นข้อห่วงใยของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเส้นสีเขียวมีข้อห่วงใย เติมเส้นความเป็นจริงห่างพอสมควร แต่ตอนนี้เหมือน

กรณีผู้เสียชีวิตก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ใกล้กับที่คาดการณ์ไว้จึงเป็นข้อห่วงใยและข้อมูลในการตัดสินใจในมาตรการต่างๆ

 

• เปิดผับ บาร์ ก่อน 16ม.ค.2565 ต้องปฎิบัติอย่างไร?

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ครั้งที่ 19/2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธาน  ได้มีมติเห็นชอบ ปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ในกิจการสถานบันเทิง ให้เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. 2565 ตามกำหนดเดิม เพราะหากมีการเปิดสถานบันเทิงด้วยสถานที่ ซึ่งไม่ได้เป็นสถานที่อากาศถ่ายเท มีการดื่มกินที่จะทำให้ทุกคนต้องเปิดหน้ากาก และต้องอยู่เป็นระยะเวลานาน ทำให้มีความน่ากังวลในเรื่องมาตรการส่วนบุคคล และหากย้อนกลับไปดูคลัสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง จะเห็นว่าเกิดคลัสเตอร์ใหญ่ๆ 2 ครั้ง

ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้พลาดการฉลองปีใหม่และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของการส่งเสริมการท่องเที่ยว เบื้องต้น ฉลองปีใหม่ปี2565 ทางกระทรวงสาธารณสุขขอให้เห็นควรดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดไว้เดิม แต่ทั้งนี้ในส่วนของผู้ประกอบการ และผู้ที่ต้องทำงานในสถานที่ดังกล่าวก็อาจจะได้รับความเดือดร้อน ฉะนั้น ถ้าผู้ประกอบการดำเนินการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และมีการเตรียมความพร้อมทั้งสถานที่ ผู้ประกอบการทำการปรับปรุงสภาพแวดล้อม  มีการทำประเมินและขึ้นทะเบียน และได้รับใบอนุญาตจากมท. สธ. และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.

นอกจากนั้น ต้องปฎิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโควิด -19 ในส่วนของสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ การเปิดบริการ กำหนด ดังนี้

• จำหน่ายสุรา ไม่เกิน 23.00 น. เปิดบริการไม่เกิน 24.00 น.
• งดให้บริการคาราโอเกะ
• งดจัดพื้นที่เต้นรำส่วนกลาง
• งดบริการเครื่องดื่มที่มีการใช้แก้วร่วมกัน 
• งดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การให้บริการ หรือ กิจกรรมที่มีการคลุกคลี และสัมผัสใกล้ชิดกับลูกค้า

 

• ย้ำปฎิบัติตามมาตรการCOVID Free Setting 

สถานบันเทิงที่จะเปิดดำเนินการ ต้องปฎิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ขณะที่  มท.สธ. และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.กำกับติดตามการเปิดดำเนินการ ดังนี้ หากไม่มีการระบาดจากสถานบันเทิงให้เปิดดำเนินการต่อได้ หากมีการระบาดจากสถานบันเทิงพิจารณาปิดดำเนินการควบคุมการระบาด หากเกิดการระบาดหรือไม่ปฎิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้พิจารณา ปิดดำเนินการและกำหนดบทลงโทษ  

“หากผู้ประกอบการดำเนินการได้เตรียมความพร้อมการเปิดให้บริการตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 และมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมถึงดูความพร้อมของผู้ประกอบการในแต่ละระยะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ก็อาจจะสามารถเปิดให้บริการได้เร็วกว่าวันที่ 16 ม.ค. 2565 ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายของวันที่ 26 พ.ย.2564 ทางกระทรวงแรงงานได้มีการหารือร่วมกับทางผู้ประกอบการ เพื่อหาทางออกร่วมกัน รวมถึงจะทำการสำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งนายจ้างลูกจ้าง เพื่อช่วยเยียวยาให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ฉะนั้น ถ้าทุกคนช่วยกันประกับประคองและดำเนินการตามมาตรการป้องกันโลก อาจจะทำให้สามารถฉลองปีใหม่ และสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้

• เห็นชอบปรับพื้นที่จังหวัดใหม่ ยกเลิกเคอร์ฟิว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่าที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร เป็นคราวที่ 15 ออกไปอีกระยะเวลา 2 เดือน หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2565

รวมถึง เห็นชอบปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร ที่ประชุมได้รับทราบข้อเสนอจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้มีการหารือร่วมกับหลายฝ่าย และข้อมูลจากสถิติต่างๆ  สรุปดังนี้ พื้นที่ควบควบสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 6 จังหวัด ปรับเป็น 0 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 39 จังหวัด ปรับเป็น 23 จังหวัด พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 23 จังหวัด ปรับเป็น 23 จังหวัด  พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 5 จังหวัด ปรับเป็น 24 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) ไม่มี และพื้นที่สีฟ้า (นำร่องการท่องเที่ยว) 4 จังหวัด ปรับเป็น 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ กาญจนบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พังงา และภูเก็ต ทั้งนี้ ได้มีการยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) และได้มีการปรับพื้นที่สีฟ้าใหม่ เดิม 16 จังหวัด ปรับเป็น 11  จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี นนทบุรี ปทุมธานี เชียงราย เชียงใหม่ อยุธยา ขอนแก่น  นครราชสีมา สุรินทร์ จันทบุรี และตราด