จะเกิดอะไรขึ้น? หาก "ไทย" เป็นศูนย์กลางการผลิต "วัคซีนโควิด 19" ของภูมิภาค
ผลการศึกษาของ TU-RAC พบว่า หาก "ไทย" เป็นศูนย์กลางการผลิต "วัคซีนโควิด 19" ของภูมิภาค จะทำให้เศรษฐกิจเติบโต เพิ่มโอกาสคนไทยเข้าถึงวัคซีน และหากระดมฉีดจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ สามารถช่วยชีวิตคนได้กว่า 4.8 แสนคน
ตลอดเกือบ 2 ปีที่เราเผชิญกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) หรือที่เราเรียกกันว่า โควิด 19 ทำให้วิถีชีวิตของเราต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ วัคซีนโควิด 19 คือทางออกที่จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง หากได้รับการปูพรมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้มากและเร็วที่สุด นอกจากนี้ยังจะช่วยลดหรือยุติปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งในเชิงสาธารณสุขและเชิงเศรษฐกิจได้อีกด้วย
การจัดหาวัคซีนแท้จริงแล้วยังมีข้อจำกัดอยู่ค่อนข้างมาก ประเทศที่ได้เปรียบมักเป็นประเทศร่ำรวย เป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีน ขณะที่ประเทศรายได้ปานกลาง หรือประเทศกำลังพัฒนานั้น ต้องรอจนกว่าประเทศร่ำรวยจะยอมปล่อยวัคซีนให้สามารถส่งออกนอกประเทศได้ รวมถึงมั่นใจว่าประเทศตัวเองจะสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชากรได้มากพอ จนไม่มีการระบาดซ้ำ ฉะนั้น หากไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนโควิดได้เอง ก็จะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเดียวกันสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ง่ายขึ้น
ไทย จึงได้ตั้งเป้าให้เป็นประเทศที่สามารถคิดค้น ทดลอง วิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนในประเทศได้เอง ตาม “ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) 2560 – 2569” โดยตั้งมั่นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ซึ่งจะทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มั่นคงและปลอดภัยในการป้องกันเชื้อไวรัส ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการระบาดของโรค โควิด 19
“โควิด 19” เป็นตัวเร่งสำคัญให้ไทยก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ”
ต้องยอมรับว่า การระบาดของโรคโควิด 19 เป็นตัวเร่งสำคัญให้การวิจัยและพัฒนาวัคซีนให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ในปี 2563 ปีเดียวกับที่ไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดรอบแรก หลายสถาบันก็เริ่มมีการวิจัยและพัฒนาวัคซีนขึ้นทันที อาทิ การวิจัยวัคซีนต้านโควิด 19 ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, ศูนย์วิจัยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการทดลองวัคซีนป้องกันโควิด 19 ชนิด mRNA ภายใต้ชื่อ ChulaCov-19 และคาดว่าจะเป็น “บูสเตอร์โดส” หรือวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชาชนทั่วไปได้ ภายในเดือน เมษายน 2565 และวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิตจากใบยาสูบ ของบริษัทใบยาโฟโตฟาร์ม ก็คาดหมายว่าจะออกจำหน่ายให้กับประชาชนได้ในช่วงกลางปี 2565 สะท้อนให้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่เตรียมความพร้อม และสามารถปรับตัวได้เร็ว
ขณะที่ด้านการจัดหาและระดมฉีดวัคซีนนั้น รัฐบาลไทยตั้งเป้าไว้ว่าจะฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส ครอบคลุมคนไทย 50 ล้านคน หรือ 70% ของจำนวนประชากร ภายในสิ้นปี 2564 หากเป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว ควบคู่ไปกับการจัดการมาตรการควบคุมโรคที่เหมาะสม
ผลการศึกษา “ภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการพัฒนาการผลิตวัคซีนภายในประเทศ” ของ สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ TU-RAC พบว่า ภายในสิ้นปี ไทยจะเหลือผู้ติดเชื้อรายใหม่เพียงวันละ 2,500 คนต่อวัน และเกิดผู้เสียชีวิตรายใหม่ประมาณ 40 คนต่อวัน
ขณะเดียวกัน การที่ไทยเป็น “ศูนย์กลางการผลิตวัคซีน” นั้น จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนและทำให้คนไทยเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้เร็วมากขึ้น กล่าวคือหากฉีดวัคซีนได้เกิน 50 ล้านคน หรือมากกว่า 70% ของจำนวนประชากร ก็จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตของคนไทยได้มากกว่า 4.8 แสนคน ทั้งยังช่วยลดการป่วยหนัก และการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งหมายความถึงการลดภาระระบบสาธารณสุขได้อีกมหาศาล
สำหรับวัคซีนที่ไทยเลือกใช้นั้น ข้อมูล ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2564 รัฐบาลได้สรุปแผนการจัดการวัคซีนทั้งหมดว่า จะใช้วัคซีนหลัก 3 ชนิด ได้แก่ แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนแวค และ ไฟเซอร์ รวม 127.1 ล้านโดส เกินจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ100 ล้านโดส และหากรวมกับวัคซีนทางเลือก คือ ซิโนฟาร์ม และโมเดอร์นา จะอยู่ที่ 179.1 ล้านโดส
ไทยไม่ควรพึ่งพาการ “นำเข้า” วัคซีนจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
วิกฤติที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นว่า ไทยไม่ควรพึ่งพาการ “นำเข้า” วัคซีนจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัคซีนเมื่อประเทศผู้ผลิตจำกัดการส่งออก ซึ่งในห้วงเวลาวิกฤตินั้น ไทยจึงได้สนับสนุนให้มีการผลิตวัคซีนภายในประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
- ผลิตโดยหน่วยงานร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน
- ผลิตโดยเจ้าขององค์ความรู้ โดยปัจจุบันบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด ได้สร้างโรงงานต้นแบบการผลิตวัคซีนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บนเนื้อที่ 1,200 ตาราเมตร มีกำลังการผลิต 1-5 ล้านโดสต่อปี
- การจ้างโรงงานผลิตโดยมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยีการผลิตแก่โรงงานผู้รับจ้างผลิต ซึ่งเป็นรูปแบบการผลิตหลักที่ใช้ในปัจจุบันในประเทศไทย
ทั้งนี้ คาดหมายว่าหากมีการผลิตวัคซีน ChulaCov-19 ในอนาคต จะทำการผลิตผ่าน บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิต 50-60 ล้านโดสต่อปี
การเป็น “ฐานการผลิต” วัคซีนในประเทศด้วยตัวเอง “คุ้มค่า” ขนาดไหน?
คำถามสำคัญในขณะนี้คือ การเป็น “ฐานการผลิต” ในประเทศด้วยตัวเองนั้น มีความ “คุ้มค่า” มากขนาดไหน? และหากเปรียบเทียบความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์และความคุ้มค่าเชิงสังคม ระหว่าง การรอรับวัคซีนจากต่างประเทศ กับ สามารถผลิตวัคซีนได้ด้วยตัวเองนั้น เป็นอย่างไร?
จากตอนหนึ่งของผลการศึกษาเรื่อง “ภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด 19) และการพัฒนาการผลิตวัคซีนภายในประเทศ” โดย ผศ.ดร. สุทธิกร กิ่งเเก้ว ผู้บริหารโครงการสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อมูลไว้ว่า มูลค่าตลาดวัคซีนทั่วโลกนั้น อยู่ที่ 0.9 ล้าน – 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่ามหาศาล และมีโอกาสเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับประเทศไทย การผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนในภูมิภาคนั้น ถือเป็นการสร้าง “อุตสาหกรรมใหม่” ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สามารถพัฒนาคน และสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน ให้ก้าวไปอีกขั้นเท่านั้นยังไม่พอ ยังเป็นหลักประกันความมั่นคงทางด้านสุขภาพของประชาชน ว่าจะมีวัคซีนใช้เพียงพอ สำหรับรองรับหากเกิดการระบาดครั้งใหม่ของโรคโควิด 19
สำหรับ วัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์นั้น คิดเป็นมูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท โดยใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่อยู่ในไทย เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย รวมทั้งสิ้น 1.5 – 1.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า หากประเทศต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง จากระบบสาธารณสุขที่รองรับไม่ไหว จีดีพี อาจติดลบ จนเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย เกิดการสูญเสียมากกว่า 1.6 แสนล้านบาท ต่อระบบเศรษฐกิจ และรายได้ต่อหัวประชากรจะตกลงกว่า 2,283 บาท จากการคลายล็อกช้ากว่ากำหนด ดังนั้น การมีวัคซีนในมือจะสามารถการันตีความมั่นคงได้ เพื่อไม่ให้ประเทศต้องอยู่ในสภาวะที่ต้องล็อกดาวน์ ปิดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นเพื่อควบคุมโรคระบาดอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ยังมีการประมาณการว่า การที่ไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนด้วยตัวเองนั้น จะสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าวัคซีนได้ จากเดิมที่รัฐบาลไทย ต้องใช้เงินมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายด้านวัคซีน
ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นวงกว้าง จากการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในการผลิตการจ้างงานของแรงงานทักษะสูงและเกิดการยกระดับทักษะการทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ หากลองนึกภาพ วัคซีนหนึ่งขวด ยังสามารถสร้างมูลค่าต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้นว่า “บรรจุภัณฑ์” หรือ “โลจิสติกส์” ก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน และสามารถต่อยอดไปได้อีกไกล โดยหากประเทศไทยสามารถเป็นได้ทั้งผู้คิดค้น ผู้พัฒนา ผู้ผลิต หรือบริษัทชั้นนำมาจ้างผลิต จะส่งผลกับเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาลและแน่นอนว่าการผลิตวัคซีนในปริมาณมากๆนั้น ต้องการกำลังคนจะเกิดการจ้างงานจำนวนมาก ทั้งในอุตสาหกรรมวัคซีน อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ขณะเดียวกัน ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องในอนาคต
รูปแบบการจ้างโรงงานผลิตในปัจจุบัน
รูปแบบการจ้างโรงงานผลิตที่เป็นรูปธรรมในปัจจุบัน คือ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า พีแอลซี จ้างบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19 ชนิดไวรัลเวกเตอร์มีกำลังการผลิตวัคซีนอยู่ที่ปีละ185 – 200 ล้านโดสโดยส่งมอบให้ประเทศไทย ในฐานะ “ฐานการผลิต” ราว 1 ใน 3 ของวัคซีนที่ผลิตได้ทั้งหมด และ 2 ใน 3 จะส่งมอบให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศใกล้เคียง เพื่อช่วยป้องกันภูมิภาคนี้จากมหาวิกฤติโควิด 19
หากจำกันได้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ในช่วงเวลาที่กำลังมีการเร่งวิจัยและพัฒนาวัคซีนอย่างเข้มข้น แอสตร้าเซนเนก้า ถือเป็นวัคซีนตัวแรกที่ไทยมีข้อตกลงจัดหา และเป็นวัคซีนที่มีจำนวนจัดหามากที่สุด โดยได้มีการลงนามระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข บริษัทเอสซีจี บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดเพื่อเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนให้ทั่วถึงโดยเร็วที่สุด
รัฐบาล ได้ชี้แจงถึงเหตุผลในการเลือกวัคซีนนี้ว่า ผู้ผลิตคือ แอสตร้าเซนเนก้า และมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ได้มีการทดลองในคนหลายพันคน และการฉีดวัคซีนเข็มแรกก็ให้การตอบสนองได้ดีมาก โดยกว่า 90% มีภูมิคุ้มกัน ในส่วนของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์นั้น ได้รับเลือกจากแอสตร้าเซนเนก้าในฐานะ “พันธมิตรด้านการผลิต” แห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และดำเนินการผลิตโดยยึดนโยบาย ไม่กำไร ไม่ขาดทุน (no profit/no loss) พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้จัดสรรงบประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสายการผลิต ภายใต้เงื่อนไขว่า สยามไบโอไซเอนซ์ต้องซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่มีมูลค่า 600 ล้านบาท คืนให้รัฐบาล โดยรัฐบาลไทยสั่งซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้วมากกว่า 121 ล้านโดส แบ่งเป็น 61 ล้านโดส ในปี 2564 และ 60 ล้านโดส ในปี 2565
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า มีส่วนสำคัญทั้งในการ “กู้วิกฤติ” โดยเฉพาะในพื้นที่ระบาดหนักอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเป็นวัคซีนหลักฉีดให้กับประชาชน จนสามารถลดการระบาด ทั้งยังช่วยลดการป่วยหนักและการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 และช่วยบรรเทาวิฤติในระบบสาธารณสุข เตียงเต็ม โรงพยาบาลล้น จนสามารถผ่อนคลายล็อกดาวน์ได้ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นมา
ขณะเดียวกัน การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การคืนความ “ปกติ” หลังการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้าง ยังส่งผลดีต่อด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มกว่า 3 แสนคน ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 รวมถึงในภาคอุตสาหกรรม ก็พบอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.36 และดัชนีการลงทุนของภาคเอกชน ก็เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 6.95 เช่นเดียวกับตัวเลขผู้ว่างงานในระบบประกันสังคม ก็ลดลงถึงร้อยละ 32.23 หรือลดลงเกือบ 4.5 แสนคน ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564
ทั้งหมดนี้พิสูจน์ได้ว่า การผลิตวัคซีนในประเทศ และการระดมฉีดวัคซีนในประเทศ มีส่วนสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง หลังหยุดชะงักไปนานเกือบ 2 ปี
การที่ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค จะทำให้รองรับ “โรคอุบัติใหม่” ได้ดีมากขึ้น
การศึกษา “ภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด 19) และการพัฒนาการผลิตวัคซีนภายในประเทศ” ข้างต้น ยังได้มองผลกระทบเชิงบวกทางสังคม จากการเป็นฐานการผลิตวัคซีนในหลายด้าน นอกจากเรื่องความมั่นคงด้านวัคซีนให้พร้อมรับมือกับทุกภัยคุกคามทางสุขภาพใหม่ๆ ในอนาคตแล้ว การมีวัคซีนในมือยังสามารถผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการวิจัย การพัฒนาระบบสาธารณสุข ซึ่งก็สอดคล้องกับการให้ไทย เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ในอนาคต
แม้โลกจะพยายามแก้ปัญหาการเข้าถึงวัคซีนและความไม่เท่าเทียม ผ่านโครงการ COVAX แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือบางประเทศยังได้รับวัคซีนไม่เพียงพอ และมีประเทศที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน ซึ่งหากพบการระบาดของไวรัสรอบใหม่ โลกจะเผชิญกับการกักตุนวัคซีนอีกรอบ และประเทศกำลังพัฒนานั้นจะยิ่งเข้าถึงวัคซีนได้ยาก ด้วยปัจจัยเหล่านี้ การผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19 ได้เอง จึงมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับการระบาดระยะยาว
คาดการณ์ว่า ในปี 2565 หากไทยสามารถผลิตวัคซีนได้ตามแผน จะมี วัคซีนโควิด 19 ทุกรูปแบบรวมกันมากถึง 260-295 ล้านโดส ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการรองรับกรณีที่ไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ ทั้งยังพร้อมสำหรับการผลิตบูสเตอร์โดส และสามารถต่อยอดในการผลิตวัคซีนสำหรับโรคอุบัติใหม่อื่น และที่สำคัญยังเป็นหลักประกันว่า หากเกิดการระบาดรอบใหม่ ผลกระทบจะไม่รุนแรงนัก จากการมีวัคซีนในมืออย่างเพียงพอ