เปิดประเทศยาก "ปิดประเทศ" ยากกว่า
การเข้ามาของ "โอมิครอน" ในประเทศไทย พบว่าคนไทยมีความเข้าใจเป็นอย่างดี แม้ว่าโอมิครอนมีจุดเด่นเรื่องติดเชื้อง่าย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานความรุนแรงที่ชัดเจน และยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขรายงานความคืบหน้า กรณีชายชาวสหรัฐที่ติดเชื้อโอมิครอนขณะนี้อยู่ระหว่างการดูแลในสถานพยาบาลและยังไม่มีอาการ อย่างไรก็ตามจะต้องกักตัวต่อจนครบ 14 วัน นับตั้งแต่วันที่เดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา
ขณะที่การสอบสวนโรคผู้ใกล้ชิดซึ่งนับเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงท่ามกลางกระแสข่าวผลเป็นบวก 1 ราย จากการตรวจรวม 17 ราย อ้างอิงจากนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ต่อยอดกลายเป็นข่าวว่าไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มเป็น 2 รายแล้ว
เรื่องดังกล่าวสร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนที่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด กระทั่ง นพ.จักรรัฐ วงศ์พิทยาอานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ออกมาแถลงข้อมูลข้อเท็จจริงว่า ผลการตรวจ 1 ใน 17 รายที่ระบุว่าเป็นบวก จากการสอบสวนโรคพร้อมกับนำผลบวกนั้นไปตรวจสอบว่าเป็นเชื้อโอมิครอนหรือไม่ ปรากฏว่า ไม่พบเชื้อโควิด-19 และจะมีการตรวจซ้ำอีกครั้งในวันที่ 12-13 ธ.ค.นี้ เพื่อยืนยันอีกครั้งก่อนครบ 14 วันของการกักตัว
ชายคนดังกล่าวเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารในโรงแรม และเป็นพนักงานตามระบบ COVID free setting ตามระบบ SHA+ คือ ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 2 เข็มแล้วตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. และ 3 ก.ย. 2564
ส่วนไทม์ไลน์ของพนักงานคนนี้ วันที่ 3 ธ.ค.เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวพร้อมกับครอบครัวรวม 5 คน ไปจังหวัดอุบลราชธานี แวะรับญาติที่นครราชสีมา 1 ราย กลับถึงบ้านที่อุบลฯ มีการรับประทานอาหารร่วมกันและแวะตลาด แต่ยืนยันว่าตอนเดินทางสวมหน้ากากอนามัยตลอด
ประเด็นการเข้ามาของโอมิครอนในประเทศไทย ต้องยอมรับว่าคนไทยมีความเข้าใจเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเพราะได้รับข่าวการแพร่ระบาดในประเทศอื่นมาก่อน แม้ว่าโอมิครอนมีจุดเด่นเรื่องติดเชื้อง่าย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานความรุนแรงที่ชัดเจน และยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
ทว่าการโหมกระพือข่าวในแง่ร้ายหรือเกินจริงอาจมีผลกระทบในที่สุด ดังนั้นข้อมูลข่าวสารคือสิ่งสำคัญ หน่วยงานและผู้บริหารภาครัฐจำเป็นต้องตระหนัก รวมทั้งสื่อมวลชนต้องนำเสนอข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่าสถานการณ์โอมิครอนขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขหรือรัฐบาลต้องออกมาตรการคุมเข้ม ล็อกดาวน์ หรือจะถึงขั้นปิดประเทศหรือไม่ เรายืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีความเห็นใดๆ ที่ไปในทิศทางดังกล่าว
ส่วนนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตัวแทนผู้ประกอบการ ไม่อยากให้มีการตื่นตระหนกจนถึงขั้นต้องปิดประเทศ นายสุพันธุ์มองว่าการปิดประเทศไม่ตอบโจทย์
ความเห็นภาคเอกชนเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เป็นไปในทำนองเดียวกันคือ ตอนนี้เศรษฐกิจของไทยเริ่มดีขึ้น ประเทศกำลังมาถูกทางแล้ว ยอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตก็เริ่มลดลงต่อเนื่อง ประเด็นจึงอยู่ที่การเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น กับการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง
เราเห็นว่าการเข้ามาของโอมิครอนในจังหวะที่ประเทศอื่นเผชิญมาก่อน เป็นบทเรียนให้คนไทยปฏิบัติตัวในการป้องกันและอยู่ร่วมกับโอมิครอนโดยไม่ตื่นตูม รัฐก็เช่นกัน เชื่อว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี อย่างมากก็เป็นความท้าทายอีกครั้งเท่านั้น