สธ.เตรียมนำมาตรการสกัดโควิด-19รับมือฝุ่นPM2.5

   เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 1/2565 ว่า ที่ประชุมฯ ถกกันในเรื่องของการรับมือกับสถานการณ์ที่จะถูกกระทบโดยปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว ที่มีความกดอากาสสูงมาก ซึ่งทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 มารบกวนในช่วง 2-3 เดือนนี้ จึงต้องฝากประชาชนว่า ต้องระมัดระวังไว้ ตนได้มอบในที่ประชุมฯ โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พิจารณามาตรการโควิด-19 ที่สามารถต่อยอดการป้องกันฝุ่น PM2.5 ด้วย
     โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยที่ป้องกันโควิดแล้วยังป้องกันฝุ่นได้ หากผู้ที่ใช้หน้ากากอนามัย ชนิด N95 อยู่แล้วก็จะได้รับผลกระทบน้อย ส่วนหน้ากากชนิดทั่วไปก็สามารถป้องกันได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ตนมอบให้หน่วยงานที่ดูเรื่องนี้ศึกษาข้อมูลและชี้แจงต่อประชาชนว่า หน้ากากอนามัยทั่วไปจะป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ในระดับใด นอกจากนั้น ที่ประชุมฯ เห็นชอบการออกแนวทางควบคุม ป้องกัน เฝ้าระวัง  และรักษาผู้ได้รับผลกระทบจากฝุ่นด้วย

       นายอนุทิน กล่าวว่า คำแนะนำช่วงสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 สำหรับประชาชน ให้ติดตามค่าฝุ่นละอองก่อนออกจากบ้านและป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หากใครมี N95 ก็สามารถนำมาใช้ได้ สำคัญที่สุดคือมาตรการทำงานจากที่บ้าน(Work From Home) ที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง สามารถลดค่าใช้จ่ายกิจการได้ ดังนั้น หาก WFH ได้จะช่วยลดฝุ่นละอองได้ เป็นการประยุกต์โควิดกับสถานการณ์ PM2.5 ได้ ส่วนการใช้ยานพาหนะที่ประชาชมสามารถทำได้เลย จึงขอความร่วมมือลดการใช้ยานพาหนะ หรือใช้วิธี Car Pool เดินทางร่วมกันในรถ 1 คันร่วมกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ตรวจสอบสภาพรถไม่ให้ปล่อยควันดำออกมา ส่วนโรงงานต่าง ๆ ก็มีมาตรฐานกำกับดูแลอยู่แล้ว

        “หากรวมกันได้ทั้งในภาคประชาชน อุตสาหกรรม ปัญหา PM2.5 ก็จะคลี่คลายลงไป ต้องช่วยกันเหมือนในสถานการณ์โควิด ที่ภาครัฐออกมาตรการ แล้วประชาชนปฏิบัติตาม สถานการณ์ก็คลี่คลายลงไปได้” นายอนุทินกล่าว

       ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า คาดการณ์ว่าปีนี้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จะรุนแรงกว่าปีที่แล้ว เกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัย คือ

1.ปีที่แล้วมีมาตรการล็อกดาวน์ กิจกรรมต่างๆ ลดลง ฝุ่นจึงน้อยลง แต่ปีนี้มีนโยบายเปิดประเทศ จะมีการสัญจรมากแหล่งกำเนิดฝุ่นจะมาก และ

2.คาดว่าปีนี้จะมีความกดอากาศสูงมากกว่าปีที่ผ่าน ดังนั้น รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ มีการจัดระบบเฝ้าระวังโรคจากสิ่งแวดล้อม และประกาศให้ฝุ่น PM2.5 เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เทียบเคียงกับ พรบ.โรคติดต่อ ที่มีการประกาศโรคที่ต้องเฝ้าระวัง พร้อมเห็นชอบ 5 กลุ่มโรคเฝ้าระวัง คือ 1.โรคที่เกิดจากทางเดินหายใจ 2.โรคหัวใจและหลอดเลือด 3.โรคตาอักเสบ 4.ผิวหนังอักเสบ และ 5.โรคอื่นๆ

       ทั้งนี้ มีการจัดระบบให้โรงพยาบาลรายงานกลุ่มโรค รวบรวมข้อมูลการเฝ้าระวังโรค และ การเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมจากแอปปลิเคชั่นต่างๆ เช่น Air4Thai ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบบริเวณที่มีฝุ่น PM2.5 สูง และประกอบกับโรคที่เกิดในคนเพิ่มขึ้น หลังจากนั้น คณะกรรมการโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมจังหวัด/กรุงเทพมหานคร รับไปดำเนินการแจ้งเตือนประชาชน ออกมาตรการ ห้ามกิจกรรมใดบ้าง

        “รัฐมนตรีเน้นย้ำว่าหากสถานการณ์มากขึ้น อันตรายกับประชาชนป่วยมากขึ้น อาจต้องเพิ่มมาตรการ WFH การสวมหน้ากากอนามัยที่คนไทยสวมกันอยู่แล้ว ซึ่งกรมควบคุมโรคกำลังดำเนินการศึกษาว่า หากสถานการณ์ฝุ่นมากขึ้น การใช้แบบ N95 หรือสวมหน้ากาก 2 ชั้นแบบใดจะเหมาะสมกว่ากัน” นพ.โอภาส กล่าว

      นพ.โอภาส กล่าวว่า มาตรการฝุ่น PM2.5 ก็จะเหมือนโควิด-19ที่ปรับตามระดับสีเขียว เหลือง และแดง เพราะไม่ได้เกิดขึ้นทั่วประเทสเหมือนกันหมด จึงจะมีการกำหนดลดกิจกรรมต่างๆ ลงขึ้นกับสถานการณ์ในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะต้องงดกิจกรรมทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นเป็นช่วงเวลา จึงให้ใช้กลไกระดับพื้นที่ โยคณะกรรมการฯ จังหวัดดำเนินการตามมาตรการที่ส่วนกลางกำหนด

        ถามถึงอาการโควิด-19 และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฝุ่น PM2.5 ประชาชนต้องแยกอาการอย่างไร นพ.โอภาส กล่าวว่า อาการโควิดเหมือนไข้หวัดและปอดบวมเป็นหลัก เป็นปัจจัยโดยตรง และตรวจหาเชื้อได้ ส่วนฝุ่นจะเกิดขึ้นในลักษณะปัจจัยเสริมที่ทำให้ 4-5 กลุ่มโรคมีอาการมากขึ้น เช่น หอบหืด โรคประจำตัว

        “โควิด-19กับ PM2.5 อาจทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาวะสิ่งแวดล้อมไม่ดี รวมถึงคนที่ติดเชื้อโควิด-19 หากมี PM2.5 เข้าไปด้วยก็จะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ประชาชนระวังทั้ง 2 โรคนี้” นพ.โอภาส กล่าว