รู้ทัน "มะเร็งลำไส้" ตรวจคัดกรองไว รักษาดีมีโอกาสหาย
ในปัจจุบัน เรียกว่า "โรคมะเร็ง" เป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆ โดยสถิติ พบว่า มีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ 139,206 คนต่อปี และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 84,073 คนต่อปี โดยเฉพาะ "มะเร็งลำไส้" ซึ่งติด TOP 5 ของมะเร็งในคนไทย ซึ่งมักไม่มีอาการระยะเริ่มแรก
อุบัติการณ์ "โรคมะเร็ง" ซึ่งถือเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยจำนวนมาก ซึ่งล่าสุด มีรายงานข่าวว่า นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลังได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วย "โรคมะเร็งลำไส้" เมื่อเราย้อนกลับไปดู สถิติโรคมะเร็ง ของประเทศไทยพบว่า ปัจจุบัน "โรคมะเร็ง" ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยและมีแนวโน้มอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นพ.สมศักดิ์ อรรมศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เผยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2564 เนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ โดยระบุสถิติ พบว่า มีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ 139,206 คนต่อปี และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 84,073 คนต่อปี
โดยข้อมูลจากองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็งรายงานว่า อุบัติการณ์โรคมะเร็งในไทย พบโรคมะเร็งใน เพศหญิง 151 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน และพบในเพศชาย 169.3 คน ต่อประชากรหนึ่งแสนคน
- 5 อันดับ มะเร็งในคนไทย
สำหรับ "โรคมะเร็ง" ที่พบมาก 5 อันดับแรกในคนไทย ได้แก่
1. มะเร็งตับและท่อน้ำดี
2. มะเร็งเต้านม
3. มะเร็งปอด
4. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
5. มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งลำไส้ พบเป็นอันดับ 3 ในผู้ชาย อันดับ 2 ในผู้หญิง
หากย้อนกลับไปดูข้อมูลเมื่อปี 2563 กรมการแพทย์ โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของหลายประเทศทั่วโลก ด้วยวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป แนะเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ และเนื้อสัตว์แปรรูป
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 2 ในเพศหญิง ข้อมูลประมาณการณ์ ในปี 2561 จะมีผู้ป่วยใหม่ราว 13,000 ราย และเสียชีวิตประมาณ 5,000 คน
ขณะเดียวกัน หากย้อนกลับไปอีกในปี 2557 ข้อมูลสถิติโรคมะเร็งของคนไทยในปี 2557 จาก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบมะเร็งอันดับต้นๆ ในเพศชายและเพศหญิง ดังนี้
เพศชาย
มะเร็งตับและท่อน้ำดี 79.37%
มะเร็งปอดและหลอดลม 63.73%
มะเร็งลำไส้ใหญ่ 63.73%
เพศหญิง
มะเร็งเต้านม 71.58%
มะเร็งปากมดลูก 63.99%
- วิถีชีวิตเปลี่ยน ปัจจัยเสี่ยงก่อโรค
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันวิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากโดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภค เช่น
- อาหารไขมันสูง
- อาหารฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น
- การกินอาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม
- อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ
- เนื้อสัตว์แปรรูป
- การสูบบุหรี่
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การขาดการออกกำลังกาย
- การมีภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน
- ตลอดจนการมีประวัติครอบครัวหรือตนเองเป็นติ่งเนื้อในลำไส้ เป็นต้น
- มะเร็งลำไส้ มักไม่มีอาการระยะเริ่ม
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เริ่มจากการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ (polyp) และพัฒนาจนเป็นมะเร็งโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 ปี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมักจะไม่มีอาการในระยะเริ่มแรกของโรค จะมีอาการก็ต่อเมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจนถึงระยะสุดท้าย ส่งผลทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
- อาการของโรคที่พบบ่อย
- การถ่ายอุจจาระผิดปกติ
- มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย
- ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง
- ถ่ายไม่สุด
- ถ่ายเป็นมูกหรือ
- มูกปนเลือด หรืออาจถ่ายเป็นเลือดสด
- ขนาดลำอุจจาระเล็กลง
- มีอาการปวดท้อง
- แน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด เป็นต้น
- ตรวจคัดกรองระยะเริ่มแรก
อย่างไรก็ตาม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่สามารถตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ ส่งผลให้การรักษาได้ผลดีและมีโอกาสหายจากโรคสูง ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโดยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระปีละครั้ง
หากผิดปกติควรได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ กรณีพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าวเพื่อวินิจฉัยต่อไป
- การตรวจเพื่อการวินิจฉัย
ข้อมูลจาก ศ.ดร.นพ.วรุตม์ โล่ห์สิริวัฒน์ ในเว็บไซต์ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ อธิบายว่า การตรวจเพื่อการวินิจฉัย เริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียดโดยแพทย์ อาจรวมถึงการใช้นิ้วสอดเข้าตรวจทางทวารหนักด้วย แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจต่าง ๆ เพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น การส่องกล้องเข้าทางทวารหนักเพื่อตรวจและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจสอบเซลล์มะเร็ง และอาจมีการตรวจทางรังสีวิทยาเพิ่มเติม เช่น การตรวจอัลตราซาวน์ หรือ เอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อประเมินระยะของโรคและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
- การรักษา
สำหรับการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักนั้น ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของมะเร็ง ระยะของโรค รวมถึงสภาพร่างกายและความพร้อมของผู้ป่วยขณะนั้นว่าเหมาะสมกับวิธีใดมากที่สุด โดยทั่วไปการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่วิธีที่ดีที่สุด ได้แก่
- การผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ส่วนที่มีเนื้อร้ายออก
- สำหรับการให้ยาไปทำลายเซลล์มะเร็ง (เคมีบำบัด) และ/หรือ การฉายรังสีรักษา เป็นการรักษาเพิ่มเติมในกรณีที่มีข้อบ่งชี้
อาการผิดปกติของระบบชับถ่ายแม้เพียงเล็กน้อยอาจเป็นอาการเริ่มแรกของมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เป็นได้ ดังนั้นหากท่านมีความผิดปกติดังกล่าวช้างต้นควรมาพบแพทย์ เพราะ รู้เร็ว รู้ไว รักษาได้ทันท่วงที มีโอกาสหายได้
- ปรับพฤติกรรม ลดเสี่ยง
จากสถิติ ในปี 2564 ที่มีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ 139,206 คนต่อปี และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 84,073 คนต่อปี นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้ความรู้ว่า หลายคนเห็นสถิติแล้วมีความกังวลว่าตนเองหรือครอบครัวจะโชคร้ายเป็นโรคมะเร็ง แต่ในความเป็นจริงเราสามารถปฏิบัติตนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง รวมไปถึงการป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากการได้รับสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
- สังเกตสัญญาณเตือน โรคมะเร็ง 7 ประการ
ขณะเดียวกัน การหมั่นสังเกตอาการผิดปกติเรื้อรังของร่างกายจากสัญญาณเตือน 7 ประการ ได้แก่
1. ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง
2. เป็นแผลเรื้อรัง
3. ร่างกายมีก้อนตุ่ม
4. กลืนกินอาหารลำบาก
5. ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล
6. ไฝหูดเปลี่ยนไป
7. ไอและเสียงแหบเรื้อรัง
จะช่วยให้รู้ตัวและสามารถพบแพทย์ได้เร็วส่งผลให้การรักษาได้ผลดี นอกจากนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่ามะเร็งบางชนิดสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ซึ่งการค้นพบโรคตั้งแต่ระยะแรกหรือระยะก่อนเป็นมะเร็งจะทำให้การรักษาได้ผลดีมีโอกาสหายจากโรคสูง