เช็คที่นี่! เมื่อคุณและลูกติดโควิด -19 ต้องทำอย่างไร เมื่อปลดออกจากยูเซ็ป?
“โควิด-19” สายพันธุ์โอมิครอนแม้อาการไม่รุนแรง แต่การแพร่ระบาดกลับรุนแรง พบผู้ป่วยรายใหม่แตะหลักหมื่นกว่ารายทุกวัน อีกทั้งโรคดังกล่าว จะถูกออกจากสิทธิเจ็บป่วยวิกฤต มีสิทธิรักษาทุกที่ หรือ ยูเซ็ป (UCEP) โดยในวันที่ 1 มี.ค. 2565 มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ
วันนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ขอนำเสนอวิธีปฎิบัติตัว เมื่อคุณ ลูก หรือสมาชิกในครอบครัวมีการติดเชื้อโควิด-19 ว่าควรทำอะไร? ติดต่อหน่วยงาน หรือโรงพยาบาลไหน?และหากอาการไม่รุนแรงต้องเข้า Home Isolaion ต้องทำอย่างไร?
- ทราบผลตรวจว่า ติดเชื้อ ควรทำดังนี้
กรณีที่มีผลตรวจยืนยันแล้วว่าลูกหรือเด็กในบ้านติดเชื้อโควิด -19 แบ่งได้เป็นหลายกรณี
กรณีที่ 1 เด็กติดเชื้อและผู้ปกครองติดเชื้อ สามารถเข้ารับการรักษาโดยเน้นจัดอยู่เป็นครอบครัว ไม่ควรแยกเด็กเล็กออกจากผู้ปกครอง
กรณีที่ 2 เด็กติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองไม่ติดเชื้อ ให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือ Hospitel โดยเด็กจะต้องถูกส่งตัวไปรักษาและกักตัวที่โรงพยาบาลหรือ Hospitel อย่างน้อย 14 วัน ซึ่งการกักตัวสำหรับเด็กมีความซับซ้อนกว่าเคสของผู้ใหญ่ในเรื่องของจิตใจ
โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ต้องแยกห่างจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง แพทย์แนะนำว่า เมื่อเด็กต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลควรมีคนเฝ้า เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกเคว้งคว้าง โดยผู้เฝ้าต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง อายุไม่เกิน 60 ปี และไม่มีโรคประจำตัว
กรณีที่ 3 เด็กไม่ติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองติดเชื้อ ควรให้ญาติที่ไม่ติดเชื้อเป็นผู้ดูแลเด็ก หากไม่มีผู้ดูแลควรส่งเด็กไปยังสถานสงเคราะห์ หรือบ้านพักในสังกัดกระทรวงเป็นการชั่วคราว
กรณีที่ 4 เกิดการระบาดเป็นกลุ่มในโรงเรียน หรือในเนิร์สเซอรี่ พิจารณาใช้พื้นที่เนิร์สเซอรี่เป็นโรงพยาบาลสนามเฉพาะกิจ โดยดูจากความพร้อมของสถานที่และบุคลากรตามความเหมาะสม
- ขั้นตอนการเตรียมตัวเมื่อติดเชื้อโควิด-19
ผู้ที่ได้รับการยืนยันผลตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีอาการเลย ส่วนใหญ่นั้นสามารถรักษาตัวที่บ้านได้ โดยผู้ป่วยจะต้องไม่อยู่กับกลุ่มเสี่ยง อย่าง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และสตรีมีครรภ์ โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
สำหรับขั้นตอนในการเตรียมตัวเข้ารับการรักษา HI หรือโรงพยาบาลนั้น
- เตรียมเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน เอกสารยืนยันผลตรวจโควิด
- ติดต่อ สายด่วน สปสช.โทร 1330 ได้ 24 ชม. ,สายด่วน 1668 โทรได้ตั้งแต่ 08.00 - 22.00 น. หรือ สายด่วน 1669 ได้ 24 ชม.เพื่อแจ้งเรื่องเข้ารับการรักษา แจ้งรายละเอียดและเบอร์โทรศัพท์ของตนให้หน่วยงานที่รับเรื่อง
- หรือ กรอกข้อมูลใน แอดไลน์ @sabaideebot (สบายดีบอต)
- งดออกจากที่พักหรือเดินทางข้ามจังหวัด (ฝ่าฝืนมีโทษผิดพ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 มาตรา 34)
- หากมีไข้ให้รับประทานยาพาราเซตามอลและเช็ดตัวเพื่อลดไข้
- สวมใส่แมสก์ตลอดเวลาและแยกของใช้ส่วนตัว
- บัตรประกัน (ถ้ามี)
- โทรศัพท์มือถือส่วนตัว พร้อมที่ชาร์จ รวมถึงเบอร์ติดต่อบุคคลสำคัญ
- ยารักษาโรคประจำตัว (ถ้ามี) รวมถึงบัตรนัดที่มีชื่อแพทย์โรงพยาบาลที่รักษาเป็นประจำ
- ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าอนามัย (สำหรับผู้หญิง), ขวดนม และผ้าอ้อม (สำหรับเด็ก), กระดาษชำระ, ไฟฉายหรือแบตเตอรี่สำรอง
- เสื้อผ้าสำหรับใส่เปลี่ยนในวันกลับ 1 ชุด
- เงินสดเล็กน้อย, บัตรเอทีเอ็ม, บัตรเดบิต, บัตรเครดิต
- หน้ากากอนามัย, เจลล้างมือ
- ถุงผ้าอเนกประสงค์ หรือถุงพลาสติก เพื่อใส่ของที่จำเป็น
- ข้อปฏิบัติ ขณะรอรถมารับไป รพ.
แนะวิธีดูแลตัวเองอยู่บ้าน ขณะที่รอการรับการรักษาที่ รพ. ดังนี้
- กักตัวในห้องแยกจากผู้อื่น ไม่อยู่กับใคร ในห้องแอร์ หากจำเป็นต้องอยู่ห้องกับใครให้เปิดหน้าต่างไว้ให้อากาศถ่ายเท
- สวมหน้ากากอนามัย ตลอดเวลาที่ออกมานอกห้องหรือต้องเข้าใกล้ผู้อื่น
- แยกของใช้ อุปกรณ์รับประทานอาหาร และแก้วน้ำ ไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- แยกขยะ แยกการใช้ห้องน้ำ ถ้าไม่แยกให้ใช้เป็นคนสุดท้าย
- ล้างมือด้วยสบู่ หรือถูกมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยเฉพาะหลังขับถ่าย
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รับประทานอาหารสะอาด ตามหลักโภชนาการ ทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
- ทำจิตใจให้สบาย ลดวิตกกังวล
- เมื่อใช้ลิฟต์ พกปากกา ไม้ลูกชิ้น เป็นที่กดลิฟต์ ไม่ยืนพิงลิฟต์หรือสัมผัสลิฟต์
- หากมีอาการป่วย เกิดขึ้นใหม่ หรืออาการเดิมมากขึ้น ให้ติดต่อสายด่วน 1669 , 1668 , หรือโหลดแอปฯ EMS 1669 เพื่อกดเรียกรถพยาบาลกรณีฉุกเฉิน
- กรณีอยู่บ้านหรือคอนโด กรุณาแจ้งนิติบุคคล
- เมื่อเด็กเล็กติดเชื้อต้องกักตัวที่บ้าน
สำหรับเด็กเล็กที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ต้องกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) อุปกรณ์ที่ใช้ติดตามอาการและบรรเทาอาการเด็กที่บ้าน ได้แก่
- ปรอทวัดไข้
- เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว
- อุปกรณ์ที่สามารถใช้ถ่ายภาพ หรือบันทึกอาการของเด็กได้
- ยาสามัญประจำบ้านเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก เกลือแร่
โดยสังเกตอาการโดยรวมของเด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยแบ่งระดับอาการของเด็ก ออกเป็น 2 ระดับ
ระดับที่ 1 คือ อาการที่ยังสามารถสังเกตอาการของเด็กที่บ้านต่อไปได้ ได้แก่ มีไข้ต่ำ มีน้ำมูก ไอเล็กน้อย ไม่มีอาการหอบเหนื่อย ถ่ายเหลว ยังคงกินอาหารหรือนมได้ตามปกติ ไม่ซึม
ระดับที่ 2 คือ ระดับที่ผู้ปกครองควรติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำเด็กไปส่งโรงพยาบาล คือ ไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ ใช้แรงในการหายใจมาก อกบุ๋ม ปีกจมูกบานตอนหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 95% ซึมลง งอแง ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร
- ทางเลือกเพื่อเข้ารับการรักษาโควิดหากตรวจกับเอกชน
หากคุณอยู่ระหว่างกักตัว 14 วัน แล้วพบว่าติดเชื้อจากการเลือกเข้าตรวจกับห้องปฏิบัติการเอกชนเอง มี 2 ทางเลือกเพื่อเข้ารับการรักษาโควิด-19
ทางเลือกที่ 1 เข้ารับการรักษาโควิดฟรี
- เดินทางไปยังโรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชนที่รองรับสิทธิ์
- โทร 1669 หรือโทรเรียกรถพยาบาลโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านให้มารับ
- แจ้งประวัติให้ชัดเจน แจ้งสิทธิประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, ประกันวินาศภัย (ถ้ามี)
- ได้รับการรักษาตามสิทธิ์ค่าใช้จ่ายตามประกาศกระทรวง
- ผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง อาจได้รับการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสนาม หรือ ฮอลพิเทล ในกรณีที่เตียงในสถานพยาบาลมีจำกัด
ทางเลือกที่ 2 เข้ารับการรักษาโควิดกับโรงพยาบาลเอกชน
- โทรศัพท์แจ้งไปยังโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน ให้ส่งรถพยาบาลมารับ หรือเดินทางไปยังโรงพยาบาล โดยแจ้งประวัติอย่างชัดเจน แจ้งให้ชัดว่ามารักษาโควิดก่อนเดินทางไป
- แจ้งสิทธิ์ประกันวินาศภัย, ประกันสุขภาพ ที่มี
- ได้รับการรักษาตามวงเงินในประกันวินาศภัยหรือประกันสุขภาพที่มี หรือใช้สิทธิ์จ่ายเอง
- ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือส่งตัวไปยังโรงพยาบาลสนาม หรือฮอลพิเทลในเครือข่าย กรณีที่สถานพยาบาลมีเตียงจำกัด
นอกจากผู้ติดเชื้อที่ต้องปฎิบัติตัวในการเข้ารับการรักษาแล้ว บุคคลใกล้ชิดก็ต้องมีข้อปฎิบัติเช่นเดียวกัน
- คนใกล้ชิดที่พบปะกับผู้ป่วยยืนยันต้องปฎิบัติดังนี้
เมื่อพบว่าเพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว หรือเพื่อนที่เพิ่งพบปะกันเป็นผู้ป่วยยืนยันแล้ว ถือว่าคุณเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง ต้องกักตัว ต้องปฏิบัติดังนี้
1. แจ้งหยุดงาน หยุดเรียน ไม่เดินทางไปพื้นที่สาธารณะ 14 วัน
2. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดบุคคลอื่นในห้องแอร์ สวมหน้ากากอนามัย อยู่ห่างจากผู้อื่นไม่น้อยกว่า 2 เมตร ไม่คลุกคลีกับผู้สูงอายุและเด็ก
3. สังเกตอาการตัวเอง วัดไข้ตัวเองทุกวัน หากมีไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียสร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ต้องรีบพบแพทย์
4. ใส่น้ำยาฟอกขาว 2 ฝา ในถุงขยะก่อนมัดปากถุงทิ้ง ปิดปากถุงให้สนิท
5. พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารปรุงสุก
6. ทำกิจกรรมผ่อนคลาย ลดความเครียด
กรณีพักร่วมกับผู้อื่นในบ้าน หอพัก หรืออื่นๆ
หากคุณต้องกักตัวอยู่ในที่พัก ร่วมกับบุคคลอื่นในครอบครัว หรือหอพัก แจ้งให้กับบุคคลอื่นทราบ เพื่อจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อต้องจัดส่งอาหาร และของใช้ รวมถึงเตรียมน้ำยาฟอกขาว หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค* เพื่อใส่ในถุงขยะก่อนส่งกำจัด เพื่อลดการแพร่เชื้อ
- เตรียมอุปกรณ์ ของใช้ในชีวิตประจำวันให้เพียงพอต่อการกักตัว 14 วัน
- แยกใช้ห้องนอน ห้องน้ำ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ รวมถึงเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศระบาย
- แยกของใช้ให้ชัดเจน ทั้งจานชาม แก้วน้ำ ฯลฯ และอุปกรณ์ทำความสะอาด
- เตรียมอุปกรณ์ชำระร่างกาย แยกเพื่อใช้เฉพาะผู้กักตัว
- แยกการซักผ้า ไม่ซักร่วมกับผู้อื่น
- หากต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่น ทำความสะอาดห้องน้ำเมื่อใช้เสร็จ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
- หอพัก คอนโด และสถานที่พักอาศัย ต้องทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มลิฟต์ ด้วยวิธีการเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยผู้ทำความสะอาดต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันตัวเองทุกครั้ง
อ้างอิง :กรมอนามัย ,รพ.วิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนลอ้อมน้อย,กรมการแพทย์