"วัคซีนไข้หวัดใหญ่" จำเป็นแค่ไหน ฉีดพร้อม "วัคซีนโควิด-19" ได้หรือไม่
หลังจากในยุโรป สหรัฐ เริ่มมีการประกาศไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน "โควิด-19" ทำให้อัตราป่วย "ไข้หวัดใหญ่" จากเดิมที่ลดลง ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน มีการศึกษาในบลาซิล พบว่า "วัคซีนไข้หวัดใหญ่" ช่วยลดความรุนแรงป่วยโควิดได้ 7% และ ลดอัตราใส่ท่อช่วยหายใจกว่า 17%
ตลอดระยะเวลามากกว่า 2 ปี ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งอยู่ท่ามกลางความสนใจของผู้คนจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 และยารักษาโควิด-19 รวมถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง ทำให้อาจลืมไปว่ายังมี "ไวรัสทางเดินหายใจ" อีกตัวที่ควรเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ เนื่องจากไวรัสนี้ไม่ได้หายไปไหนและพร้อมที่จะกลับมาระบาดอีกครั้ง นั่นก็คือ "ไข้หวัดใหญ่"
ยุโรป สหรัฐ "ไข้หวัดใหญ่" เริ่มกลับมาระบาด
วันนี้ (23 มี.ค. 65) รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ กล่าวในงาน เสวนาหัวข้อ “ไขปัญหาไข้หวัดใหญ่ในยุคโควิด-19” จัดโดย มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ ผ่านระบบ Zoom โดยอธิบายว่า สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ทั่วโลกโดยรวมในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่เข้มงวด
"ขณะที่ในปี พ.ศ. 2565 นี้ เริ่มมีรายงานจากหลายประเทศ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป มีรายงานความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่สูงขึ้น รวมถึงในสหรัฐอเมริกา ที่พบการระบาดในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประชาชนมากกว่า 70% ในสหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากในสถานที่สาธารณะแล้ว"
ปี 2021-2022 แนวโน้มรุนแรง
ขณะที่มี รายงานการวิจัยจาก University of Pittsburgh สหรัฐอเมริกาคาดการณ์ว่า ฤดูไข้หวัดใหญ่ ปี 2021-2022 มีแนวโน้มจะรุนแรงกว่าปกติ ซึ่งอาจมีจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการป่วยในฤดูกาลปีก่อนการระบาดของ โควิด-19 โดยสามารถลดจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการหนักถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หากมีการฉีด วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพิ่มขึ้น 20-50% จากปีก่อนๆ
เนื่องจากในช่วงที่มีมาตรการป้องกันโควิด-19 ชาวอเมริกันจำนวนมหาศาลพลาดโอกาสที่จะสร้างภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ด้วยการติดเชื้อเองจากธรรมชาติหรือฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และเมื่อมาตรการป้องกันโควิด-19 ต่างๆ ถูกยกเลิก จึงทำให้มีโอกาสติดเชื้อรุนแรงกว่าปกติเพราะผู้คนห่างหายจากภูมิคุ้มกันมากว่า 2 ปีแล้ว และยังตรงกับฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ของประเทศในเขตอบอุ่นซีกโลกเหนืออีกด้วย ซึ่งจะกระทบต่อเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบลงมา ทำให้เสี่ยงที่จะติดเชื้อและมีอาการรุนแรงมากเป็นพิเศษ เพราะเด็กในกลุ่มนี้ยังไม่เคยได้สัมผัสเชื้อไข้หวัดใหญ่มาก่อน
ม.ค. - ก.พ. 65 ไทยพบผู้ป่วย "ไข้หวัดใหญ่" 660 ราย
สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย จากรายงานล่าสุดของกรมควบคุมโรค ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2565 – 23 กุมภาพันธ์ 2565 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 660 ราย ซึ่งเป็นโรคที่สามารถติดเชื้อได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่ยังคงพบในกลุ่มเด็กเล็กอายุ 0-4 ปีมากที่สุด
"ถึงแม้จะดูว่าตัวเลขผู้ป่วยยังไม่มากนัก แต่แพทย์ต่างก็มีความกังวลว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าที่กำลังเข้าสู่การระบาดในฤดูฝน ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะมีอากาศเย็นและชื้น ทำให้เชื้อไวรัสต่างๆ รวมถึงไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้มากขึ้นและมีชีวิตอยู่นานขึ้น อาจส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น"
ติดเชื้อร่วม ส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรง
ขณะที่ จำนวนผู้ป่วย โควิด-19 ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกันยังเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่มีการเปิดประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นยังตรงกับช่วงเวลาที่โรงเรียนทั่วประเทศเปิดเทอมภาคการศึกษาใหม่ ทำให้ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อร่วมกันทั้งโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 ในเวลาเดียวกัน (หรือที่เรียกว่า Co-Infection หรือ Flurona) ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงมีอาการรุนแรงมากขึ้น
เด็กติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ มากกว่าผู้ใหญ่ 4 เท่า
จากสถิติที่ผ่านมาเด็กจะมีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่าผู้ใหญ่ได้ถึง 4 เท่า เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ รวมถึงพฤติกรรมของเด็กโดยธรรมชาติที่มักขาดความระมัดระวัง ทั้งน้ำลาย น้ำมูก ไอจามรดกัน และไม่ชอบล้างมือ ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มเด็กและทารกยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่าการติดเชื้อโควิด-19
หญิงตั้งครรภ์โอกาสนอน รพ. 4 เท่า
ขณะเดียวกัน ในกลุ่มสตรีมีครรภ์ เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่จะมีโอกาสต้องนอนในโรงพยาบาลมากกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ติดเชื้อไข้หวัดใหญถึง 4 เท่า และหากเป็นไข้หวัดใหญ่มักมีอาการรุนแรง สามารถส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนด อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการตั้งครรภ์ หรือเสียชีวิตได้ทั้งแม่และลูก
ฉะนั้นคุณแม่ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ จึงควรป้องกันด้วยการฉีด วัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเร็วที่สุด เพื่อส่งต่อความคุ้มครองให้ทารกแรกเกิดได้ตั้งแต่วันแรกที่คลอด เพราะทารกจะฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ได้จนกว่าจะอายุครบ 6 เดือน แต่จะเป็นภูมิคุ้มกันจากแม่ที่ส่งต่อถึงลูกให้ได้รับการปกป้องอาการรุนแรงจากไข้หวัดใหญ่
ป่วยโรคปอด เสี่ยงโรคแทรกซ้อนรุนแรง 100 เท่า
ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร อาจารย์หน่วยโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายวิจัยและบริการคลินิก สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวเสริมว่า ในกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคอ้วน ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่ ยกตัวอย่าง
- ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองหรือโรคปอด จะเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง โดยพบมากกว่าคนปกติถึง 100 เท่า
- ผู้ป่วยโรคหัวใจจะเสี่ยงมากกว่าคนปกติถึง 50 เท่า
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เสี่ยงมากกว่าคนปกติ 5-10 เท่า
"เนื่องจากในผู้ที่มีโรคประจำตัวเหล่านี้ อาจจะมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแปรปรวน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีเท่ากับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงฉะนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในวงกว้างจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อร่วมกันในยุคโควิด-19 โดยไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็ควรเข้ารับบริการฉีดทั้งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นทางออกที่มีความคุ้มค่า"
"วัคซีนไข้หวัดใหญ่" ได้มีการยอมรับถึงประสิทธิภาพของวัคซีนจากทั่วโลกและมาตรฐานที่ใช้มาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาวิจัยระบุถึงคุณประโยชน์และประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ พบว่า สามารถลดจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ลดความถี่ในการมาพบแพทย์ ลดการแพร่เชื้อโรค รวมถึงลดการรักษาตัวในห้องฉุกเฉิน และผลโดยรวมยังพบว่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีประโยชน์มากต่อคนทุกช่วงอายุ รวมทั้งผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวด้วย
"วัคซีนไข้หวัดใหญ่" ลดอัตราใส่ท่อช่วยหายใจผู้ป่วยโควิด-19 ได้ 17%
ปัจจุบันมีการวิจัยของประเทศบราซิลที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และอัตราความรุนแรงของโควิด-19 โดยเปรียบเทียบใน 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระยะ 1-3 เดือนที่ผ่านมา
2. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ผลปรากฎว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วย โควิด-19 จะช่วยลดอัตราการนอนในแผนกผู้ป่วยหนักได้ 7% ช่วยลดอัตราของผู้ป่วยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้ถึง 17% ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยต่างประเทศอีกหลายแห่ง ทั้งในสหรัฐอเมริกา และบราซิล ที่ระบุว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ส่งผลในเชิงบวกต่อการเจ็บป่วยของโควิด-19 สามารถลดอัตราการเสียชีวิตลงจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 10% ด้วยเช่นกัน
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีกี่ชนิด
ปัจจุบันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มี 2 ชนิด คือ ชนิด 3 สายพันธุ์ และชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งได้ผลที่ดีทั้ง 2 ชนิด อย่างไรก็ตามด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ จึงแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งจะครอบคลุมเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้กว้างกว่าชนิด 3 สายพันธุ์ โดยวัคซีนจะมีการเปลี่ยนชนิดสายพันธุ์ย่อยไปทุกปีตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฉีดเป็นประจำทุกปี เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้พร้อมรับมือกับเชื้อในแต่ละปี ซึ่งสามารถเข้ารับฉีดวัคซีนได้ตามคลินิกเอกชน หรือโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ โดยจะเริ่มให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลปี 2565 ชนิด 4 สายพันธุ์ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม - ธันวาคม 2565
ขณะที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 สายพันธุ์ของภาครัฐบาล จะเริ่มให้บริการฉีดฟรีได้ที่หน่วยบริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลในระบบบัตรทอง ประมาณเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป
"วัคซีนไข้หวัดใหญ่" ฉีดร่วมกับ "วัคซีนโควิด-19" ได้หรือไม่
สำหรับข้อคำถามที่ว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 และ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ยังต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์เหมือนเดิมหรือไม่ รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี อธิบายว่า ปัจจุบัน สามารถฉีดพร้อมกันได้ในการไปพบแพทย์เพียงครั้งเดียว เนื่องจากในช่วงแรก ข้อมูลไม่ค่อยมี ในยุโรป และสหรัฐ จึงฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปก่อนและฉีดไข้หวัดใหญ่ แต่ในตอนนี้เขาแนะนำว่าฉีดในวันเดียวกันได้ การศึกษาพบว่า ผลข้างเคียงเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง สามารถฉีดแขนคนละข้างได้ซ้ายขวา
หากโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ ระบาดพร้อมกัน ?
ทั้งนี้ หากในอนาคต เราต้องใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยแล้ว เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 พร้อมกัน จะทำให้ความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นหรือไม่ รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี อธิบายว่า ไข้หวัดใหญ่กับโควิด-19 มีกลุ่มเป้าหมายที่ทำให้โรครุนแรงคล้ายกัน คือ กลุ่ม 608 วิธีแก้ คือ ฉีดวัคซีนทั้งคู่ จะลดความรุนแรง วัคซีนทุกตัว แม้กระทั้งไข้หวัดใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดของผลของวัคซีน คือ ลดความรุนแรงโรค ลดการเสียชีวิต แม้ว่าวัคซีนโควิด-19 จะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ มีการการศึกษาใหม่ๆ หรือถึงแม้จะมีเชื้อใหม่ๆ เกิดขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อลดลง แต่การป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตยังสูง กว่า 90% ดังนั้น เป้าหมายสำคัญ คือ ลดความรุนแรง
"หน้ากากอนามัย ป้องกันได้ส่วนหนึ่งแต่ เราคงไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดไป ดังนั้น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และ วัคซีนโควิด-19 ช่วยให้ป่วยลดลง และช่วยให้โอกาสการติดเชื้อลดลงแม้จะไม่ใส่หน้ากาก" รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าว
ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้อต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ หรือทางทางเพจของ มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่