สธ.ปรับลดวันรักษาโควิด-19 เหลือ 5+5 วัน
สธ.ปรับวันรักษาโควิด-19 เหลือ 5+5 ประชุมศบค.ชุดใหญ่ 19 ส.ค.นี้ แจ้งมติคกก.โรคติดต่อแห่งชาติ ปรับโควิด-19เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19(ศบค.) ชุดใหญ่ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ว่า สธ.จะนำแจ้งมติล่าสุดของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่ให้ปรับโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ให้ ศบค.รับทราบ เพื่อให้มีความเห็นต่างๆ เพราะแม้ว่าจะมีการคืนกฎหมายกลับมาให้สธ.ดำเนินหารแล้ว แต่ยังคงใช้ความร่วมมือกันในการทำงาน มีความจำเป็นที่ต้องเสนอให้ ศบค.รับรู้รับทราบ เพื่อมีความเห็นใดเพิ่มเติม ไม่ใช่อ้างแต่กฎหมาย เพราะถ้าอ้างแต่กฎหมาย สธ.ก็คงมีการประกาศไปแล้ว
"ส่วนบทบาท ศบค. หลังจากโควิด-19เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังนั้น อยากให้มองว่าทุกคนมาทำงานร่วมกัน ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ท่านเสียสละลงมาบัญชาการ รวบรวมหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ก็มาดูว่าหากทุกอย่างกลับไปเป็นปกติแล้วกระทรวงสาธารณสุขมั่นใจว่าไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของหน่วยงานไหน ท่านนายกฯ ก็คงพิจารณาตามสถานการณ์ ตามรายงานที่เราให้ความมั่นใจกับท่าน"นายอนุทินกล่าว
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (อีโอซี)กรณีโรคโควิด-19 (EOC) ซึ่งมีการปรับการประชุมเป็นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ได้มีประเมินสถานการณ์รายวันและรายสัปดาห์ และแจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติปรับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะต้องวางแผนการบริหารจัดการโรคโควิด-19 จนถึงเดือน ธ.ค.2565 ทั้งเรื่อง การควบคุมโรค การดูแลรักษา วัคซีน และการประชาสัมพันธ์ โดยรูปแบบการรักษานั้น จะต้องให้ยารักษาลงไปถึงระดับร้านขายยา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาได้มากขึ้น โดยใช้ใบสั่งแพทย์ไปสั่งซื้อยา
"ส่วนการรักษา ได้มีการทบทวนระยะเวลาการรักษา เพื่อผู้ติดเชื้อที่มีอาการซึ่งถือว่าเป็นผู้ป่วย จากที่ใช้อยู่คือ การรักษาตัวคือ 7 วันและแยกกักตัวเพื่อสังเกตอาการ 3 วันหรือ 7+3 ที่ประชุมได้พิจารณาปรับแนวทางการรักษาใหม่ให้เป็น 5+5 คือ รักษาตัว 5 วัน แยกกักเพื่อสังเกตอาการ 5 วัน ส่วนเรื่องยาโมลนูพิราเวียร์ จะเป็นยาหลักในการรักษา ซึ่งมีเพียงพอ"นพ.เกียรติภูมิกล่าว