"กัญชง" พืชเศรษฐกิจใหม่ คาดปี 70 ตลาดโลกพุ่ง 1.86 หมื่นล้านดอลล์
“กัญชง” พืชเศรษฐกิจใหม่ ที่ได้รับความสนใจทั้งจากไทยและต่างประเทศ ปี 2565 คาดการณ์ว่า "ตลาดกัญชง" ในไทยมูลค่าสูงถึง 7,200 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 40,000 ล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าตลาด CBD จากกัญชงทั่วโลกจะสูงถึง 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2570
ปี 2562 รัฐบาลไทย ประกาศให้เริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องกัญชา กัญชง โดยภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมมือกัน รวมทั้งออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 ทำให้กัญชากัญชง ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการที่ไทยตั้งเป้าเป็นเมดิคัล ฮับ กลายเป็นโอกาสของไทยที่จะเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางตลาดกัญชงในอนาคต
3 ปัจจัย ดันตลาดกัญชงโต
"ยิ่งยศ จารุบุษปายน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ในฐานะธุรกิจด้านการผลิต และสกัดสาร CBD จากกัญชง กล่าวในงานสัมภาษณ์พิเศษ รันวงการ “กัญชงไทย” ให้เขียวขจีบนตลาดเฮลธ์แคร์ โดยระบุว่า จากการศึกษากัญชงมาตั้งแต่ปี 2562 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขจนถึงปัจจุบัน พบแนวโน้มการเติบโตของ "ตลาดกัญชง" โลกรวมถึงประเทศไทย ที่มีโอกาสไปได้ไกลในอนาคตอย่างชัดเจน โดยปัจจัยที่ไทยลีฟเล็งเห็นคือ
1. สารสกัด CBD ของกัญชงพัฒนาใช้งานได้หลายด้าน มีประสิทธิภาพและมีคุณประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Health Care & Wellness เช่น การดูแลกลุ่มผู้สูงอายุในไทย และโรคยอดฮิตคนไทย
2. กฎหมายรองรับที่ชัดเจน จากภาครัฐในหลายๆ ประเทศทั้งฝั่งอเมริกาเหนือ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝั่งอเมริกาใต้บางส่วน ฝั่งยุโรป และฝั่งออสเตรเลีย ซึ่งประเทศเหล่านี้เล็งเห็นประสิทธิภาพการใช้งานในวงการแพทย์ รวมถึงการนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารเสพติด
3. โอกาสของไทยในระดับมหภาค ซึ่งปัจจุบันต่างประเทศ รวมถึงประเทศในฝั่งเอเชียกำลังจับตามองประเทศไทยเนื่องจากไทยเปิดตลาดกัญชงเสรีมาแล้วร่วมปี
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาประชากรในฝั่งอาเซียนทั้งหมดที่มีราว 777 ล้านคน ซึ่งรวมกันแล้วใหญ่กว่าอเมริกา 3 เท่า ยิ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มตลาดกัญชงไทยจะเติบโตไปได้อีกในหลายประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมถึงหากปี 2023 ภาครัฐไทยมีการออกข้อกฎหมายรองรับสาร CBD จากกัญชง ระบุสิ่งที่ทำได้ - ทำไม่ได้ที่ชัดเจน พร้อมมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างจริงจัง จะยิ่งเสริมให้โอกาสตลาดกัญชงในไทยเติบโตเร็วยิ่งขึ้นภายใน 1-3 ปี ซึ่งยังไม่นับรวมผู้เล่นอย่าง จีนและอินเดีย ที่มีประชากรรวมกันราว 3 พันล้านคน ในกรณีที่ตัดสินใจโดดเข้ามาร่วมตลาดเดียวกันนี้
คาดปี 2568 ตลาดกัญชงไทยโต 4 หมื่นลบ.
ทั้งนี้ ไทยจะผลักดันกัญชงให้เป็น พืชเศรษฐกิจใหม่ "ยิ่งยศ" มองว่า ตลาดของอาเซียนค่อนข้างใหญ่ ประชากรกว่า 650 ล้านคน แนวโน้มมูลค่าการเติบโตไปได้เร็วมากหากมีการเปิดเสรีจากทางภาคพื้นอาเซียน
ขณะที่ไทย มีการวางเป้าหมายเป็นเมดิคัล ฮับ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท ดังนั้น ภาครัฐ ตั้งใจจะให้เราเป็นศูนย์กลางอาเซียน ในการพัฒนาเศรษฐกิจกัญชง เพื่อให้เป็นพืชในการส่งออก สิ่งแรก คือ พัฒนากัญชงส่งออก ถัดมา คือต่อยอดผลิตภัณฑ์ส่งออก
“จากการคาดการณ์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มูลค่าตลาดกัญชงในไทยปี 2565 อยู่ที่ราว 7,200 ล้านบาท แต่หากมองไปในปี 2568 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า นักวิเคราะห์จากสหรัฐฯ มองว่า ตลาดกัญงชงไทย น่าจะอยู่ที่ราว 4 หมื่นล้านบาท แต่หากรวมทั้งอาเซียน คาดมูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 2.5 แสนล้านบาท ในปี 2568 ดังนั้น ไทยจะเป็นศูนย์กลางการส่งออกและพัฒนาพืชกัญชง” ยิ่งยศ กล่าว
ปี 70 ตลาด CBD กัญชงทั่วโลกพุ่ง 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า การเติบโตของตลาด CBD จากกัญชงทั่วโลกในอีก 5 ปี หรือราวปี 2570 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลจาก www.theshelbyreport.com)
"ส่วนในประเทศไทยปี 2565 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว 3,800 – 7,200 ล้านบาท ยิ่งหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ความเข้าใจในข้อมูลที่ถูกต้อง ชี้แจงถึงสิ่งที่ทำได้ ทำไม่ได้ หรือชี้ให้เห็นข้อดีของกัญชงแก่ภาคประชาชน จะยิ่งช่วยยกระดับให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่แห่งอนาคตได้รวดเร็วและเชื่อว่าไปได้ไกลกว่ากัญชาแน่นอน"
นอกจากนี้ ในปี 2566 มั่นใจว่าคนไทยจะเห็นภาพคุณประโยชน์ของกัญชงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในภาพการแข่งขันและการลงทุนจะเห็นโอกาสทางธุรกิจกัญชงในตลาดอาหารเสริม และตลาดเฮลธ์แคร์ที่ชัดเจนมาก ซึ่งประเทศไทยตอนนี้เป็น Medical Hub ของโลกและเอเชีย มีการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ มีอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ก้าวหน้า และเชื่อว่าจะได้เห็นการแข่งขันจากธุรกิจต่างๆ ที่เข้ามาในตลาดนี้อย่างคึกคักแน่นอน
ทุ่ม 40 ลบ. พัฒนาเมล็ดพันธุ์กัญชง CBD สูง
ปัจจัยดังกล่าวนำมาซึ่งการพัฒนาธุรกิจของไทยลีฟในการเป็น One Stop Service พัฒนาตลาดกัญชงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่การนำเข้า เมล็ดพันธุ์ การปลูก และการสกัด โดยทุ่มงบประมาณกว่า 40 ล้านบาท ทำความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) TOP 3 มหาวิทยาลัยของอเมริกาที่มี การวิจัยสายพันธุ์และเมล็ดพันธุ์กัญชงมากว่า 30 ปี พัฒนาและนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชง
โดยจัดตั้งให้เป็นสายพันธุ์ไทย ที่มีความโดดเด่นด้วยค่าสาร CBD (Cannabidiol) ที่สูงมาก อยู่ที่ร้อยละ 25-26 ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะเวลาที่ยาวนาน ขณะที่สายพันธุ์ในไทยส่วนใหญ่จะให้ค่าสาร CBD อยู่ที่ร้อยละ 4 ทำให้ส่วนใหญ่เป็นกัญชงที่ให้พวกเส้นใยเหมาะในการไปทำเครื่องนุ่งห่มมากกว่าใช้เพื่อทางการแพทย์
เพิ่มการเข้าถึงกัญชง เกษตรกรไทย
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ยังมีการส่งผู้เชี่ยวชาญมาประจำการร่วมวิจัยกับไทยลีฟ ซึ่งในอนาคต ตั้งใจจะเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์กัญชงสัญชาติไทยที่มีคุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ พร้อมจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่เกษตรกรไทยในราคาที่ย่อมเยาว์ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
รวมถึงนำความรู้ข้อมูลวิจัยที่ถูกต้อง นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ คานาร์ฟามา อินเวสต์เมนต์ส อิ้งค์ (Cannapharma Investments Inc.) บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอราเลียน แคปิตอล จำกัด (Aralian Capital) ถ่ายทอดสู่เกษตรกรท้องถิ่นให้หันมาปลูก กัญชงอย่างถูกต้อง ถูกวิธี เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ตลอดจนคุณภาพของน้ำมันและสารสกัดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นความได้เปรียบสำหรับการใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
เล็ง 3 กลุ่ม สินค้า ในปีแรก
ยิ่งยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนการทำผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD จากกัญชง ปัจจุบันไทยลีฟมีสูตรผลิตภัณฑ์ที่พร้อมพัฒนาทันทีกว่า 1,000 สูตร มีการจดลิขสิทธิ์และขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้วในอเมริกา และมีการทำผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายแล้วที่แคลิฟอร์เนียรวมถึงยุโรป สำหรับประเทศไทยได้วางเป้าผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มแรกในปี 2023 ได้แก่
1. กลุ่มเครื่องดื่ม (Drinks & Beverages)
2. กลุ่มอาหารเสริม (Supplement)
3. กลุ่มเวชสำอาง (Cosmetic)
“ในปีแรก ไทยลีฟ จะทำผลิตภัณฑ์ร่วมกับพาร์เนอร์ 4 บริษัทฯ ใช้ CBD ที่สกัดจากโรงงาน ทำสินค้าเวชสำอาง อาหารเสริม คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ หรือต้นปี โดยที่ผ่านมา ลงทุนไปแล้วกว่า 250 ล้านบาท สร้างโรงงาน รวมถึงปลูกกัญชง ระยะแรก ในพื้นที่ 50 ไร่ จากพื้นที่โรงงานทั้งหมด 6,000 ตารางเมตร”
เล็งพัฒนายา โรคนอนไม่หลับ พาร์กินสัน
หลังจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าผลิตและจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา ขณะนี้ โรงงานได้รับการ รับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์และวิธีการในการผลิตยาตามมาตรฐาน ระดับสากล GMP PIC/S ปัจจุบันมีสูตรยาที่มีกัญชงเป็นสารประกอบราว 40 ชนิด โดยเฉพาะการช่วยรักษาโรคยอดฮิตของคนไทย ได้แก่ โรคนอนไม่หลับ โรคพาร์กินสัน อาการปวดข้อเข่า
ข้อมูลวิจัย พบว่า ประชากรไทย ร้อยละ 30 หรือกว่า 20 ล้านคน กำลังเผชิญกับโรคนอนไม่หลับซึ่งมีทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว มีสาเหตุคือความเครียดทั้งจากการทำงาน ความกดดันสูง และกรณีที่เครียดมากอาจส่งผลเป็นโรคแพนิค ออฟฟิศซินโดรม และอื่นๆ ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถรักษา หรือบรรเทาอาการได้ด้วยสารสกัด CBD เนื่องจากมีสารที่จะเข้ามาช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สร้างสมาธิมากขึ้น และไม่ทำให้มึนเมา
“การพัฒนาเป็นยา ซึ่งตอนนี้มีสูตรพร้อมแล้วที่จะผลิต ทั้งนี้ การทำเป็นยา กฎของ อย. หากจะจดเป็นยาต้องทดสอบทางคลินิก ต้องใช้เวลา ต้องมีกระบวนการ และระยะเวลาที่ อย.จะอนุมัติ เป้าหมายระยะสั้น 3 ปี คือ ก้าวเป็นผู้นำตลาดกัญชงในอาเซียน ตอนนี้ประเทศไทย ถือเป็นประเทศเดียวที่เปิดเสรีในการให้ทำกัญชง กัญชาได้ แต่ในด้านกฎหมาย ของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะสิงคโปร์ เวียดนาม ลาว ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย พร้อมที่จะสนับสนุนเตรียมตัวออกกฎหมาชัดเจน”
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคในการทำเรื่องกัญชา กัญชง ที่สำคัญ คือ ตั้งแต่ 9 ก.ค. ที่มีการเปิดเสรีกัญชา มาตรการ กฎหมาย ยังไม่ชัดเจน การประกาศกฎกระทรวง กฎหมายลูก โดยพรบ. อยู่ระหว่างการพิจารณา ทำให้มีช่องว่าง คนนำมาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ขายช่อดอกในการสันทนาการ และความเข้าใจผิดของประชาชน คือ สูบในที่สาธารณะ
"ดังนั้น ภาครัฐควรมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคเองต้องเรียนรู้การใช้งานต่างๆ คุณและโทษอยู่ตรงไหน บางคนไม่เข้าใจและใช้เกินขนาดอาจถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากังวล"
ตั้งเป้าผู้นำตลาดฟาร์มาซูติคอล กัญชง
ยิ่งยศ กล่าวทิ้งท้ายว่า เป้าหมาย ของไทยลีฟ คือ การขยายธุรกิจกัญชงตั้งแต่ในประเทศ อาเซียน เอเชีย ไปจนถึงตลาดโลก ด้วยความพร้อมไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพันธุ์กัญชงที่มีคุณภาพ เทคโนโลยีการสกัด CBD ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถต่อยอดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลากหลาย งานวิจัยจากสถาบันระดับโลก พันธมิตรที่แข็งแกร่ง เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่น่าเชื่อถือ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากกัญชงเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศไทย ในระยะแรก บริษัทได้วางเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดไว้เพียงร้อยละ 10 แต่เมื่อรัฐบาลมีการประกาศข้อกำหนดต่างๆ ที่ชัดเจนมั่นใจว่าไทยลีฟจะขยายไปยังตลาดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดฟาร์มาซูติคอลที่มีกัญชงเป็นส่วนประกอบของเอเชีย