เช็ก อาการ “เชื้อไวรัส HPV” ป้องกันอย่างไร ไม่ให้เสี่ยง
แพทย์ ชี้ HPV เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อเอชพีวี แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัส พบมีเชื้อชนิดนี้มากกว่า 100 สายพันธุ์ บางสายพันธุ์อาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งช่องปากและลำคอ เป็นต้น
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อ ไวรัสเอชพีวี "HPV" ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ การแสดงอาการของโรคอาจเกิดขึ้นหลายปีหลังจากติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ สำหรับอาการของการติดเชื้อ ไวรัส"HPV" มีดังนี้
1. มีหูดหงอนไก่ ( Condyloma Acuminata )
- เป็นตุ่มเล็กๆ ผิวไม่เรียบหลายๆตุ่ม กระจายตามอวัยวะเพศภายนอก
- มีอาการคันได้
- สามารถพบได้ทั้งปากช่องคลอด และปากมดลูก
ลักษณะของหูด
- หูดชนิดทั่วไป จะมีรูปร่างเป็นตุ่มเล็กๆ เจ็บปวดบ้างในบางครั้ง
- และหากสัมผัสจะรู้สึกว่าผิวของหูดนั้นมีความขรุขระ
- มีได้หลายสี
- พบได้ที่บริเวณมือ นิ้วมือ หรือข้อศอก
- ซึ่งหูดลักษณะเช่นนี้ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
นอกจากนี้ ยังมีหูดชนิดอื่นๆ เช่น
- หูดชนิดแบนราบ เกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย
- หูดฝ่าเท้า มักขึ้นบริเวณส้นเท้า ทำให้รู้สึกเจ็บในระหว่างยืนหรือเดิน
- แต่หูดที่สร้างความทุกข์ใจกับผู้ป่วยมากที่สุดคือ หูดที่อวัยวะเพศ หรือเรียกว่า หูดหงอนไก่เป็นติ่งเนื้อลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศชาย และทวารหนัก ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บ แต่อาจทำให้รู้สึกคัน
2. มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ
- อาจมีเลือดปนตกขาว
- ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
- หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยจากช่องคลอด
- มีอาการเป็นๆหายๆ
- หากติดเชื้อที่ทวารหนัก จะมีแผลหรือก้อนยื่นออกมาผิดปกติ
- แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ผู้หญิงบางรายได้รับเชื้อ HPV เข้าสู่ร่างกายแต่ไม่แสดงอาการและเชื้อก็จะหายไปเอง
- หรือหากร่างกายอ่อนแอก็อาจก่อให้เกิดความผิดปกติภายหลัง
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคติดเชื้อ HPV มักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก ปาก หรือการใช้อุปกรณ์เพื่อสนองความต้องการทางเพศร่วมกัน และสามารถแพร่ผ่านรอยแผลหรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง หากมีการสัมผัสผิวหนังหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้ป่วย แม้กระทั่งในช่วงที่ผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการก็ตาม
ส่วน หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้ออาจแพร่เชื้อสู่บุตรระหว่างการคลอดได้ แต่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อย ทั้งนี้วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัส HPV สามารถทำได้ดังนี้
1. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุก 3 ปี หรือตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ทุก 5 ปี
2. ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี
3. สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์
4. เลี่ยงพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย