การศึกษานานาชาติไทย รับมือ ‘เอไอ - พัฒนาทักษะ - ปั้นทูตวัฒนธรรม’
ISAT เผยภาพรวมธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไทยที่เติบโตจาก 5 แห่งสู่ 200 แห่งในรอบ 30 ปี คาดปี 67-68 สร้างรายได้ทะลุ 85,000 ล้านบาท เน้นสร้างซอฟต์พาวเวอร์ผ่านการผสมผสานวัฒนธรรม พร้อมพัฒนาทักษะมนุษย์เพื่อรับมือการมาของ AI
สมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย (ISAT) ฉลองครบรอบ 30 ปี จากจุดเริ่มต้นที่มีโรงเรียนสมาชิกเพียง 5 แห่ง ปัจจุบันได้ขยายตัวเป็นเกือบ 200 แห่งทั่วประเทศ มีนักเรียนรวมกว่า 85,000 คน
ในด้านของการเติบโตทางเศรษฐกิจ อุษา สมบูรณ์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม ISAT ได้เปิดเผยว่า แนวโน้มความสนใจที่มีต่อโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากครอบครัวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยคาดการณ์ว่าในปีการศึกษา 2567-2568 จะสามารถสร้างรายได้จากค่าเล่าเรียนสูงถึง 85,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจอีกราว 30,000 ล้านบาท จากกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การซื้อหรือเช่าที่พักอาศัย ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัวชาวต่างชาติ รวมถึงการใช้จ่ายของคณะครูต่างชาติที่มีจำนวนมากถึง 12,800 คน
ความหลากหลายของหลักสูตรและการกระจายตัว
เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียดของโรงเรียนที่อยู่ภายใต้เครือข่าย ISAT จะพบว่ามีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย โดยส่วนใหญ่เป็นหลักสูตรจากประเทศอังกฤษจำนวน 82 แห่ง รองลงมาเป็นหลักสูตรอเมริกัน 51 แห่ง หลักสูตรนานาชาติและอื่นๆ อีก 40 แห่ง และหลักสูตร IB อีก 11 แห่ง ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ โดยมีความหนาแน่นมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีถึง 122 แห่ง
ทั้งนี้ นายกสมาคมฯ ได้พยายามปรับความเข้าใจของสังคมที่มักมองว่าโรงเรียนนานาชาติเป็นทางเลือกสำหรับครอบครัวที่มีฐานะดีเท่านั้น โดยอธิบายว่าแท้จริงแล้ว ผู้ปกครองที่เลือกส่งบุตรหลานมาเรียนที่นี่ล้วนให้ความสำคัญกับคุณภาพการศึกษาเป็นอันดับแรก
พวกเขามุ่งหวังให้บุตรหลานได้เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความคิด และพฤติกรรมของผู้คน ผ่านค่านิยมสำคัญที่โรงเรียนปลูกฝัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเคารพ การยอมรับ และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
อุษา สมบูรณ์ นายกสมาคม ISAT
สร้างซอฟต์พาวเวอร์ผ่านการศึกษา
อีกบทบาทที่สำคัญของโรงเรียนนานาชาติคือการเป็นกลไกในการสร้างพลังอำนาจละมุน หรือ “ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)” ให้กับประเทศไทย ผ่านการผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลาย
นายกสมาคมฯ ได้เปรียบเทียบว่าโรงเรียนนานาชาติเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การสอนภาษาอังกฤษหรือหลักสูตรแบบตะวันตกเท่านั้น แต่ยังได้นำเอาวัฒนธรรมไทยมาผสมผสานเข้ากับทุกมิติของการเรียนรู้
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนศิลปะไทย ดนตรีไทย นาฏศิลป์ไทย หรือแม้แต่การนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
ปัจจุบัน โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยมีนักเรียนต่างชาติจากมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก การที่เด็กๆ เหล่านี้ได้มีโอกาสสัมผัสและซึมซับวัฒนธรรมไทยตั้งแต่ในวัยเยาว์ ย่อมช่วยสร้างความเข้าใจและความประทับใจในประเทศไทยที่จะติดตัวไปในระยะยาว เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นและกลับไปใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิด พวกเขาจะกลายเป็น “ทูตวัฒนธรรม” ที่จะช่วยเผยแพร่เรื่องราวดีๆ ของประเทศไทยในเวทีโลก
การปรับตัวและพัฒนาผู้เรียนในยุคปัญญาประดิษฐ์
ในด้านการพัฒนาผู้เรียน การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ กล่าวคือ เมื่อนำวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคลมาผสานกับวัฒนธรรมเอเชียและไทยที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ส่งผลให้นักเรียนเอเชียมีความกล้าแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามมากขึ้น ในขณะที่นักเรียนจากฝั่งตะวันตกก็ได้เรียนรู้ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
เจมส์ ดัลซีล (James Dalziel) ผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติ NIST มองว่าการก้าวเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI นั้นถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาการศึกษา โดยเน้นย้ำว่าความท้าทายของครูผู้สอนในยุคนี้คือการช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะผสมผสานและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีนี้ได้อย่างมีจริยธรรม
ท่ามกลางการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเอไอ ผอ.ดัลซีลได้เน้นย้ำว่า โรงเรียนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะความเป็นมนุษย์ควบคู่กันไปด้วย เพราะแม้ว่าเราจะไม่สามารถแข่งขันกับเอไอในด้านการประมวลผลข้อมูล แต่สิ่งที่เอไอไม่อาจทดแทนได้คือ ทักษะทางสังคมและอารมณ์ ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา
ดังนั้น การสร้างสัมพันธภาพและการเสริมสร้างสุขภาวะทางอารมณ์ของผู้เรียนจึงเป็นสิ่งที่ทางโรงเรียนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดี มีการคาดการณ์ว่าในปีการศึกษา 2568-2569 จำนวนนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติจะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 หรือมากกว่า 91,000 คน พร้อมกับการปรับเพิ่มของค่าเล่าเรียนประมาณร้อยละ 3-5 ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมสูงถึง 95,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทิศทางการพัฒนาดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของ World Economic Forum ที่ชี้ให้เห็นว่า ทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคตนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงความฉลาดทางอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งนับเป็นจุดแข็งของการศึกษาในโรงเรียนนานาชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมมาโดยตลอด