IT & gadget
ศิริราชรักษามะเร็งเต้านมแนวใหม่

ศิริราชรักษามะเร็งเต้านมแนวใหม่ ผ่าตัดเก็บเต้านมพร้อมฉายแสงในครั้งเดียว ประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย ได้ผลดี
ศ.นพ.พรชัย โอเจริญรัตน์ อาจารย์แพทย์หัวหน้าสาขาศัลยศาสตร์ ศีรษะ คอ เต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์ กล่าวถึงอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมว่า เป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุด สำหรับผู้หญิงทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย จากสถิติของสถานวิทยามะเร็งศิริราชพบว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยเรื่องมะเร็งเต้านมมากกว่า 1,000 ราย โดยมาตรฐานการรักษาจะเป็นแบบสหสาขาวิชา คือ มีทั้งการผ่าตัด การฉายรังสีรักษา การให้ยาเคมีบำบัด และฮอร์โมนบำบัดผสมผสานกัน อย่างไรก็ดี การรักษาด้วยการผ่าตัดยังใช้เป็นการรักษาหลักอยู่ ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมดและการผ่าตัดแบบเก็บเต้านมไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ทำการรักษารศ.นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ อาจารย์แพทย์ประจำสาขาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอ และเต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์ และผู้ริเริ่มการรักษามะเร็งเต้านมแนวใหม่ในศิริราช กล่าวว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การรักษามะเร็งเต้านมด้วยการผ่าตัดแบบเก็บเต้านมเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น หลักการคือ ผ่าตัดเอาเฉพาะก้อนมะเร็งออก โดยเก็บผิวหนังบริเวณเต้านม หัวนม และลานนมไว้ นับเป็นเทคโนโลยีในการผ่าตัดที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยยังคงความเป็นหญิงไม่สูญเสียเต้านม และนำมาสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า การผ่าตัดรักษาด้วยวิธีผ่าตัดแบบเก็บเต้านมอย่างเดียว จะทำให้อัตราการเกิดซ้ำของมะเร็งเต้านมสูงขึ้น จำเป็นที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องได้รับการฉายรังสีรักษาภายนอกหลังการผ่าตัดแล้วเป็นจำนวน 25-30 ครั้ง เป็นระยะเวลา 5-6 สัปดาห์ติดต่อกัน ซึ่งการรักษานี้อาจสร้างความลำบากให้ผู้ป่วย และยังทำให้การบริการทางรังสีรักษาแก่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นจำนวนมากจากปัญหาดังกล่าว สาขาศัลยศาสตร์ ศีรษะ คอ และเต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์ และสาขารังสีรักษา ภาควิชารังสีวิทยา จึงร่วมกันเพื่อหาแนวทางการรักษามะเร็งเต้านม ที่เอื้อประโยชน์แก่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ไปพร้อมกัน เทคโนโลยีใหม่นี้ เป็นการผ่าตัดเฉพาะก้อนมะเร็งเต้านมพร้อมฉายรังสีรักษาครั้งเดียวในห้องผ่าตัด ผศ.นพ.สืบวงศ์ จุฑาภิสิทธิ์ อาจารย์แพทย์ประจำสาขาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอ และเต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์ และผู้ผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านมแนวใหม่ กล่าวว่า การผ่าตัดมะเร็งเต้านมแนวใหม่นี้ เริ่มจากการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ เรียกว่า ผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองเซนทิเนล คือ การตัดต่อมน้ำเหลืองบางส่วนแทนการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองทั้งหมดในอดีต จากนั้นผ่าตัดเฉพาะก้อนมะเร็งออก ตามด้วยการฉายรังสีรักษาครั้งเดียวในห้องผ่าตัด การผ่าตัดด้วยวิธีนี้ เริ่มใช้ในโรงพยาบาลศิริราชเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน ( 31 พ.ค. 54 7 ส.ค. 56) ให้บริการผู้ป่วยไปแล้ว 50 ราย มีการติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยมีระยะเวลาเฉลี่ยในการติดตามเท่ากับ เป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่า ได้ผลดีเยี่ยม และมีอัตราการเกิดโรคซ้ำเพียง 2 % (1 ราย) ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งวิธีนี้ยังทำให้ผู้ป่วยประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงสามารถช่วยลดงานบริการผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการฉายรังสีเป็นจำนวนถึง 755 ครั้งในการรักษาด้วยวิธีใหม่นี้ ถือเป็นแนวทางที่สามารถช่วยผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจำนวนหนึ่งได้ ซึ่งทางสาขาศัลยศาสตร์ ศีรษะ คอ และเต้านม และสาขารังสีรักษาคำนึงถึงอย่างมากในเรื่องการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของการรักษา ดังนั้นในปี 2555 เราได้จัดประชุมวิชาการเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการฉายรังสีรักษาในห้องผ่าตัด คือ Prof R Orrecchia และ Prof Y Petit จาก European Institute of Oncology ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ให้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมด้วยวิธีนี้ และมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษานี้มาแล้วมากกว่า 2,000 ราย มาทำการประเมินและชี้แนะให้กับคณะทำงาน ทำให้มีการปรับปรุงคุณภาพ เทคนิคในการผ่าตัด และการใช้เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากผู้ป่วยจะได้รับการรักษาที่ดีแล้ว ทีมแพทย์ยังได้พัฒนาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิ ภาพด้วยอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทุกรายที่สามารถรับการรักษาด้วยวิธีนี้ได้ แพทย์ผู้รักษาจะต้องเป็น ผู้ประเมินว่า ผู้ป่วยรายใดสมควรที่จะได้รับการฉายรังสีในห้องผ่าตัด รายใดไม่สามารถทำได้ โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เหมาะสม จะต้องมีอายุ 55 ปี ขึ้นไป เป็นมะเร็งระยะเริ่มต้น ขนาดก้อนน้อยกว่า 2 ซ.ม. ไม่มีการกระจายของเซลล์มะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลือง และมีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเซลล์มะเร็ง อ.นพ.กุลธร เทพมงคล อาจารย์แพทย์ประจำสาขารังสีรักษา ภาควิชารังสีวิทยา และผู้ฉายรังสีรักษา กล่าวว่า ในปัจจุบัน การฉายแสงหรือรังสีรักษา ถือเป็นกระบวนการหลักอย่างหนึ่งในการรักษามะเร็งเต้านม เพื่อหวังผลให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคหรือป้องกันการกลับเป็นซึ่งเฉพาะที่ของโรคมะเร็ง ข้อดีที่สำคัญที่สุดของการฉายรังสีรักษาในห้องผ่าตัด คือ การลดระยะเวลาในการฉายรังสีภายนอกได้ถึง 25-30 ครั้ง นอกจากนี้การฉายรังสีเข้าไปในบริเวณที่เป็นตำแหน่งของก้อนมะเร็งทันทีภายหลังการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก จะทำให้สามารถกำหนดตำแหน่งของการฉายรังสีรักษาได้แม่นยำมากขึ้น ทำให้เพิ่มโอกาสการหายจากโรคและลดปริมาณรังสีต่อเนื้อเยื่อปกติ รวมถึงลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาลงด้วย และภาวะแทรกซ้อนต่อผิวหนังภายนอกก็ลดลงมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับการฉายรังสีภายนอกตามปกติ จากการศึกษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราช ที่ได้รับการรักษามะเร็งเต้านม ด้วยวิธีใหม่นี้ พบว่าภาวะความสวยงามของเต้านมภายหลังการรักษาอยู่ในเกณฑ์ดีมากถึงดีเลิศ นอกจากนี้ยังใช้แบบสอบถามที่เป็นมาตรฐานทั่วโลกฉบับที่แปลเป็นภาษาไทย เพื่อประเมินคุณภาพชีวิตผู้ป่วยหลังการรักษามะเร็งเต้านม พบว่า ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจกับการรักษา และรู้สึกพึงพอใจที่ไม่มีการสูญเสียเต้านมภายหลังการผ่าตัด รศ.เยาวมาลย์ เมธาภิรักษ์ ผู้ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ กล่าวว่า ครั้งแรกที่ได้รับข่าวว่าเป็นมะเร็งเต้านม รู้สึกตกใจมาก เพราะตัวเองมีการตรวจหามะเร็งเต้านม ด้วยการทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เต้านมอย่างสม่ำเสมอทุกปี แต่เมื่อแพทย์ได้เสนอและอธิบายให้ทราบถึงแนวทางการรักษาว่า จะผ่าตัดเฉพาะก้อนมะเร็งแทน การตัดเต้านมออกทั้งหมด แล้วฉายรังสีโดยตรงเข้าไปครั้งเดียวยังบริเวณที่ผ่าตัด โดยไม่ต้องมารับการฉายรังสี หลังผ่าตัดอีก 25 - 30 ครั้ง ก็รู้สึกสนใจวิธีใหม่นี้มากและมั่นใจในการรักษา จึงตอบตกลง กระบวนการรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและพักเพียงคืนเดียวหลังผ่าตัด ทุกวันนี้รู้สึกมีความสุขที่หายจากโรคแล้ว และสิ่งมีค่าซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นหญิงยังอยู่กับเราด้วย ทั้งหมดนี้ขอบคุณคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลที่ได้นำเทคโนโลยีทันสมัยมาให้คนไทยมีโอกาสได้รักษา นพ.ธรรมนิตย์ อังศุสิงห์ ประธานศูนย์ถันยรักษ์ กล่าวในตอนท้าย แม้ว่าโรคมะเร็งเต้านมจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่การป้องกันโรคมะเร็งเต้านมที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือ การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการตรวจเต้านมตนเอง เป็นสิ่งแรกที่จะช่วยให้ผู้หญิงทุกคนป้องกันตนเองจากมะเร็งเต้านมได้ การตรวจนี้เพื่อให้สตรีรู้สึกถึงธรรมชาติเต้านมของตนเอง และหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็จะสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตนเอง โดย ควรเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุ 20 ปี ขึ้นไป และตรวจเป็นประจำสม่ำเสมอทุกเดือนตลอดชีวิต ซึ่งขั้นตอนการตรวจ ประกอบด้วย การดูด้วยตาและการคลำด้วยมือ นอกจากนี้ในผู้หญิงอายุ 35 ปี ขึ้นไป ควรตรวจด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านมที่เรียกว่า แมมโมแกรมร่วมกับการตรวจอัลตราซาวนด์ สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติต่างๆ ที่เต้านมไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใด ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีความสำเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดของการรักษาโรคมะเร็งเต้านม โดยนำเทคโนโลยีการผ่าตัดควบคู่กับการฉายรังสีในคราวเดียว ซึ่งสาขาศัลยศาสตร์ ศีรษะ คอ และเต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์และสาขารังสีรักษา ภาควิชารังสีวิทยา จะขยายผลการรักษานี้ให้กับผู้ป่วยมากขึ้นทั้งในประเทศและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการขึ้นในปลายเดือนธันวาคม 2556 เพื่อเปิดโอกาสให้แพทย์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่นี้ นับเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยและประชาชนเป็นอย่างมาก ผู้สนใจสามารถขอรับคำแนะนำได้ที่ คลินิกเต้านม รพ.ศิริราช โทร. 0 2419 4974 - 5 และดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.si.mahidol.ac.th