'กัญชง'เส้นใยยกกำลังสอง

เอกลักษณ์ของสิ่งทอแบรนด์ Hemp Thai มีมากกว่าเรื่องของแหล่งวัตถุดิบ ใยกัญชง ที่ปลูกด้วยระบบออร์แกนิก แถมยังผูกไว้กับ "ทุนทางวัฒนธรรม"
รายงาน : บุษกร ภู่แส
เอกลักษณ์ของสิ่งทอแบรนด์ Hemp Thai มีมากกว่าเรื่องของแหล่งวัตถุดิบ “ใยกัญชง” ที่ปลูกด้วยระบบออร์แกนิก แถมยังผูกไว้กับ "ทุนทางวัฒนธรรม" ตามความเชื่อของชาวไทยม้ง ถักทอเน้นลวดลายของชาวม้งเป็นลายหลัก ส่งผลให้ผ้าทอใยกัญชงในวันนี้ถูกใช้เป็นวัตถุดิบของแบรนด์แฟชั่นระดับโลกทั้ง Hermes, Prada, Converse และ Vans ทั้งยังได้เป็นผ้าห่อมัมมี่ในพิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียมที่อังกฤษ
"ดวงฤทัย ภูมิพิเชฐ" ผู้สร้างแบรนด์ Hemp Thai โดยบุกเบิกธุรกิจผ้าทอจากกัญชงอินทรีย์มาเป็นเวลากว่า 10 ปี ด้วยการทำไร่กัญชงและโรงงานผลิตผ้าจากใยกัญชงร่วมกับชาวบ้านเผ่าม้งในเชียงใหม่และเชียงราย ยืนหยัดภายใต้แนวคิดการลดโรคร้อน และการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุด สินค้าทุกชิ้นจึงถูกเย็บเป็นแบบ Zero Waste concept พยายามเย็บให้มีตะเข็บน้อยที่สุด และลดการตัดทิ้งของเศษผ้า
โมเดลธุรกิจแบบยั่งยืน
เป้าหมายของ Hemp Thai ไม่เพียงแต่จะผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมอาชีพให้กับชาวม้ง เพื่อรักษาประเพณีวัฒนธรรมการปลูกกัญชงเอาไว้ โดยกำไรส่วนหนึ่งจากธุรกิจจะนำไปส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ด้วย
"เราต้องการทำธุรกิจให้ยั่งยืน พยายามผลักดันให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วิธีการทำกัญชง โดยส่งเสริมพวกเขาเรียนรู้เทคนิคการปลูกและผลิตเส้นใยกัญชงจากผู้ใหญ่ในชุมชน ขณะเดียวกันเรานำเทคโนโลยีเข้าไปเสริมเพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์"
ดวงฤทัยพยายามให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น หลังจากที่กฎหมายเปิดให้สามารถให้ปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจได้ ด้วยการกระตุ้นให้คนในชุมชนหันมาปลูกกันมากขึ้น เพราะ ต่างประเทศมีความต้องการกัญชงมาก เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อาทิ ทำเป็นอาหาร เครื่องสำอาง แต่คนไทยทำแค่สิ่งทอ หมายความว่า ต่อจากนี้ไป คนในชุมชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากกัญชง ไม่เฉพาะแค่เส้นใยเท่านั้น ยกตัวอย่าง เปลือกของกัญชงสามารถพัฒนาเป็นวัสดุปูพื้นทั้งในห้องทดลอง โรงงาน รวมทั้งสกัดใช้กับอาหารเสริมในรูปแบบชา กาแฟ เครื่องสำอางเพราะมีคุณสมบัติการสมานผิว เป็นต้น
Hemp Thai แบรนด์จากบริษัทดีดี เนเจอร์ คราฟท์ จำกัด ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อผู้ผลิตเริ่มตระหนักมากขึ้นว่า การทำธุรกิจแบบที่คำนึงถึงตัวเลขผลกำไรอย่างเดียว ไม่เพียงพอแล้วที่จะขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
มาตรฐานเกษตรอินทรีย์
กัญชงเป็นต้นพืชที่ใช้ประโยชน์ในการผลิตเส้นใยที่มีคุณภาพสูง มีความยืดหยุ่น แข็งแรงและทนทานสูง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์จากเส้นใยได้กว่า 5,000 ชนิด ตั้งแต่เชือกจนถึงเส้นใยที่ละเอียด โดยเส้นใยมีลักษณะเด่นด้านความเหนียว ทนทาน ไม่อับชื้น ปราศจากไรฝุ่น เชื้อราและแบคทีเรีย ป้องกันรังสียูวีโดยธรรมชาติ ระบายความชื้นและสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 170 องศาเซลเซียส โดยไม่มีส่วนผสมของสารเคมี ทั้งยังสามารถนำมาย้อมสีธรรมชาติได้ทุกสีสันตามความต้องการ
"เรายังคงเอกลักษณ์ของใยกัญชงที่มีความแข็ง แม้ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสวมใส่อาจให้ผิวสัมผัสไม่สบายเหมือนผ้าชนิดอื่น แต่เพราะสิ่งเหล่านี้่สะท้อนความเป็นธรรมชาติ ซึ่งตรงกับความต้องการของลูกค้าที่ชอบผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ 100%” ดวงฤทัยกล่าว
กลุ่มลูกค้าที่นิยมใช้ผลิตภัณฑ์จากใยกัญชง ไม่นิยมดีไซน์แฟชั่นหวือหวาตามเทรนด์ แต่ชอบดีไซน์ที่เรียบง่าย ใช้ได้บ่อยครั้ง ไม่ใช่เปลี่ยนไปตามกระแสแฟชั่น ไลฟ์สไตล์นี้ตรงกับนิสัยของชาวญี่ปุ่น ฉะนั้น ตลาดหลักจึงอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงตลาดโซนยุโรปและคนไทยบางกลุ่มที่ชอบความเรียบง่าย
ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สินค้าของ Hemp Thai จะไม่เน้นการออกแบบ ตรงกันข้ามกันข้ามเธอให้ความสำคัญกับการออกแบบและเทคโนโลยี ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมากที่สุด เช่นเดียวกับการขอรับรอง แปลงปลูกตามระบบเกษตรอินทรีย์สากล ยังช่วยให้เกษตรกรที่ปลูกกัญชงสามารถปลูกพืชอื่นที่ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์ไปในตัว เนื่องจากเป็นการปลูกพืชภายใต้ระบบเกษตรอินทรีย์
แม้จะยืดหยัดในความเป็นเอสเอ็มอีไซส์เล็ก แต่ผลผลิตที่แบ็คอัพด้วยทุนทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยี จึงไม่แปลกที่ใยกัญชงจาก Hemp Thai จะแฝงตัวงอกงามอยู่ในแบรนด์แฟชั่นโลก
ภาพเคลื่อนไหว http://youtu.be/biW5SSuNOBY