เอไอเอส-ดีแทคเร่งเครื่อง เสริมสกิลสตาร์ทอัพ

เอไอเอส-ดีแทคเร่งเครื่อง เสริมสกิลสตาร์ทอัพ

เอไอเอส ผนึกพี่เลี้ยงจากผู้ชนะในโครงการตลอด 5 ปีจัดโรดโชว์ ดีแทคดึง"ฟาดิ บิชารา" ผู้ก่อตั้ง Blackbox boot camp ให้ความรู้

เอไอเอสปูพรมขยายตลาดสตาร์ทอัพสู่ต่างจังหวัด หวังเพิ่มช่องทางการขยายดิจิทัล คอนเทนท์ ผนึกพี่เลี้ยงจากผู้ชนะในโครงการตลอด 5 ปีจัดโรดโชว์ ด้านดีแทคดึง"ฟาดิ บิชารา" ผู้ก่อตั้ง Blackbox boot camp ให้ความรู้

นายปรัธนา ลีลพนัง รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด เอไอเอส กล่าวว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เอไอเอสมองเห็นพลังไอเดียของคนรุ่นใหม่ สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีคุณค่าและช่วยจุดประกายสังคมให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยหนึ่งในดิจิทัลคอนเทนต์ที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลกคือวีดิโอ ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ทรงพลัง ไร้อุปสรรคด้านภาษาและภูมิศาสตร์ เข้าถึงผู้ชมจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ห่างไกลกัน มากกว่า 60% ของคอนเทนต์ในโซเชี่ยลมีเดียเป็นลักษณะวีดิโอ

นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพอย่างใกล้ชิดมาตลอด ทำให้เอไอเอสมองเห็นเทรนด์การเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพระดับภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการสร้างโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาการใช้ชีวิตให้คนในท้องถิ่น ตลอดจนการขยายตลาดและฐานลูกค้าไปยังต่างจังหวัด

จัดโรดโชว์ต่างจังหวัด
ดังนั้น ปีนี้เอไอเอสจะโรดโชว์ไปให้ความรู้เกี่ยวกับสตาร์ทอัพและเปิดรับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน โดยนำทีมสตาร์ทอัพรุ่นพี่จากโครงการ AIS The StartUp ที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์ทำตลาดระดับภูมิภาค ได้แก่ Golfdigg, Infographic Thailand, Local Alike, Fixzy, ZipEvent, Fourleaf, Favstay ไปร่วมจุดประกาย และเปิดมุมมองทางธุรกิจให้นักศึกษา, คนรุ่นใหม่ เจ้าของธุรกิจ และสตาร์ทอัพต่างจังหวัด ซึ่งจะจัด 3 หัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่, ขอนแก่น และภูเก็ต

“ธีมของปีนี้เราแบ่งเป็น 2 แทรค คือโรดโชว์ไปยังภูมิภาคตามที่บอก ซึ่งล่าสุดมีทีมเข้ามาสมัคร 500 ทีม สมัครจากกทม. 80% ต่างจังหวัด 20% แต่หลังจากโรดโชว์แล้วเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นไป จาก กทม. และต่างจังหวัดเท่ากัน 50% ส่วนอีกแทรคนึงคือเราโฟกัสที่คอนเทนต์วีดิโอ เพราะปีนี้เชื่อว่าจะมาแรงอีกแน่นอน เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้”

เอไอเอสคิดว่าตลาดสตาร์ทอัพในไทยค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใหม่ ผู้ประกอบการรายย่อยร่วมเป็นพันธมิตรกับแหล่งเงินทุนได้ (เวนเจอร์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นเหตุให้ล่าสุดได้เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมเป็น Content Creator มากกว่าเป็น Content Partner แบบเดิม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ผู้สร้างธุรกิจ ผู้สร้างคอนเทนต์ และผู้สร้างนวัตกรรม

ส่วนโครงการ “The 5 - Min VDO Challenge” ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มสิงเทล ซึ่งแบ่งการแข่งขันเป็น 2 ระดับคือ หาผู้ชนะระดับประเทศ 2 ทีม เป็นตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาคร่วมกับผู้ชนะจากโอเปอเรเตอร์อื่นในกลุ่มสิงเทลรวม 14 ทีม 7 ประเทศ ด้วยโจทย์เดียวกัน เปิดรับผลงาน 5 ส.ค. - 9 ก.ย. ประกาศรายชื่อผู้ชนะ 2 ทีม วันที่ 7 ต.ค. เป็นตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาค ปีนี้ ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานประกาศผลผู้ชนะระดับภูมิภาควันที่ 21 พ.ย.นี้

เร่งพัฒนาภาษา-เน้นหลากหลาย
นายฟาดิ บิชารา ผู้ก่อตั้งบริษัท Blackbox ให้ความเห็นถึงการสนับสนุนสตาร์ทอัพของภาครัฐว่า การเข้ามาสนับสนุนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ควรจะสนับสนุนให้ถูก คือควรที่จะปล่อยให้สตาร์ทอัพเติบโตด้วยตัวเอง ไม่ใช่การนำไอเดีย หรือโครงสร้างที่คิดว่าใช่มาบังคับใช้ โดยให้เชื่อในแนวคิดของสตาร์ทอัพ ที่มีแนวทางการเติบโตอย่างชัดเจน

ตอนนี้สตาร์ทอัพในไทยยังอยู่ในจุดเริ่มพัฒนาที่มีหลายหน่วยงานให้ความสนใจ จึงเป็นโอกาสที่เปิดกว้างมากๆ ถือเป็นเรื่องดี และเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่ช่วยให้สตาร์ทอัพเติบโต ที่สำคัญคือการแข่งขันยังไม่รุนแรงเหมือนในซิลิคอนวัลเลย์ หรือแถบยุโรปที่มีสตาร์ทอัพจำนวนมาก เพียงแต่สตาร์ทอัพไทยต้องพัฒนาภาษาในการสื่อสารให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อจะเติบโตต่อไปในภูมิภาค

“สตาร์ทอัพในไทยตั้งใจทำให้ธุรกิจเกิดขึ้นจริง ภายใต้แนวคิดออกไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้สังคมไทยดีขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ในสหรัฐฯ จะเน้นไปที่การลงทุนเหมือนการเล่นพนันมากกว่า ไม่ได้เน้นแง่การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม”

ขณะเดียวกัน ยังมองถึง 3 เทรนด์สตาร์ทอัพที่น่าสนใจมี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมคือ 1.การนำไปใช้กับภาคการเกษตรที่ปัจจุบันมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสภาพอากาศข้อมูลต่างๆ จากดาวเทียมการนำแสงอาทิตย์มาใช้งาน เพื่อช่วยส่งเสริมผลผลิตทางการเกษตรให้ดีขึ้น 2. เกี่ยวกับสุขภาพ (HealthTech) ที่จะเข้ามาช่วยให้การใช้ชีวิตของคนให้ยืนยาวขึ้น และ 3. อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (IoT) ที่ปัจจุบันเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน