‘ชีสผง’นวัตกรรมตอบดีมานด์

‘ชีสผง’นวัตกรรมตอบดีมานด์

ไอแทป-สวทช.ขานรับไอเดียผู้ประกอบการที่มองเห็นโอกาสธุรกิจจาก “ชีสปรุงรส” สนับสนุนจับคู่ผู้เชี่ยวชาญออสเตรเลียใช้เอนไซม์เปลี่ยนชีสสดเป็นชีสผง พร้อมปรับค่าความเข้มข้นได้ตามต้องการ เดินหน้าลุยตลาดเบเกอรี่และฟาสต์ฟู้ด

ตั้งเป้า 2561 ส่งขายฟิลิปปินส์และเวียดนาม

จากการทำธุรกิจนำเข้าเครื่องปรุงรส “ไมท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” มองหานวัตกรรมที่จะเสริมศักยภาพธุรกิจ กระทั่งเห็นโอกาสของชีสผง ผลิตภัณฑ์ดีมานด์สูงในไทยแต่ยังต้องนำเข้า 100% จึงหยิบมาเป็นโจทย์วิจัยแล้วขอรับสนับสนุนจากกลไกภาครัฐ

จับมือผู้เชี่ยวชาญสร้างโนว์ฮาว

ไมท์ตี้ฯ ดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส เพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น เบเกอรี่ เครื่องดื่ม สารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ซุป และอาหารขบเคี้ยวต่างๆ มีนโยบายที่จะขยายฐานการตลาดและเพิ่มโอกาสจัดจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศด้วยการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม ได้แก่ ชีสผงและซาวครีมผง ซึ่งยังไม่เคยผลิตสินค้าในกลุ่มนี้มาก่อน จึงมีความต้องการที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาช่วยพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิต

“ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตลาดเบเกอรี่และอาหารต่างๆ มีการใช้ชีสผงเพื่อปรุงรสอาหารและขนมเป็นจำนวนมาก ขณะที่ต้องนำเข้า 100% จึงสนใจที่จะพัฒนาขึ้นเอง โดยนำชีสสดมาแปรสภาพ แต่กระบวนการผลิตต่างๆ ก็จำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ จึงนำโครงการเข้าไปปรึกษากับไอแทป” บุญส่ง พจนสุวรรณชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าว

โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) จะให้การสนับสนุนในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านชีสจากออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ในเครือข่ายนักวิจัยของไอแทป งานวิจัยเริ่มเมื่อปี 2559 โดยใช้เทคโนโลยีสเปรย์ดรายร่วมกับการใช้เอนไซม์ สร้างโนว์ฮาวที่เปลี่ยนชีสสดเป็นชีสผงโดยที่รสชาติและสีสันของชีสไม่เปลี่ยนไป

การพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม ด้วยเทคนิคการทำแห้งแบบพ่นฝอย (spray drying) โดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ชีสผง เริ่มตั้งแต่แนะนำแหล่งซื้อวัตถุดิบ และกำหนดคุณสมบัติของเนยแข็งที่เหมาะสมกับการผลิต จากนั้นพัฒนาสูตรสำหรับทดลองผลิตในระดับห้องปฏิบัติการ วิเคราะห์ทดสอบเพื่อกำหนดคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์สุดท้ายให้เป็นไปตามที่ต้องการ จากนั้นทดลองผลิตในสายการผลิตของบริษัท

ความยากของโจทย์วิจัยนี้คือ ต้องไม่เปลี่ยนรสและสีของชีส ด้วยความเชี่ยวชาญของนักวิจัยออสเตรเลียที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ทำให้งานวิจัยนี้ใช้เวลา 8 เดือนกระทั่งได้กระบวนการผลิตชีสผงที่ให้รสชาติดีตามที่ตลาดไทยต้องการ ในขณะเดียวกันก็สามารถจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าสินค้านำเข้า

เล็งลุยตลาดเพื่อนบ้าน

ชีสผงของไมท์ตี้ฯ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงต้นปี 2560 โดยลงทุนเพิ่มในส่วนของเครื่องจักรในไลน์การผลิต และนำเข้าชีสสดจากนิวซีแลนด์ซึ่งมีรสชาติ เนื้อสัมผัสและคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับโลกมาเป็นวัตถุดิบหลัก

“เราอยากใช้วัตถุดิบชีสสดในประเทศ แต่ไทยเรามีไม่เพียงพอกับกำลังการผลิตที่สูงถึง 1 พันตันต่อปี และความต้องการของตลาด โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายอย่างผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าเบเกอรี่ ฟาสต์ฟู้ด ซึ่งมีทั้งลูกค้าเก่าของเราอยู่แล้ว และลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาเสริม”

ด้วยจุดเด่นเรื่องของการวิจัยและพัฒนา ทำให้คุณภาพ สีสัน และรสชาติของชีสผงที่ได้ ตรงกับความต้องการของตลาดหลัก บุญส่ง กล่าวว่า ยังสามารถสร้างโนว์ฮาวสูตรชีสผงที่มีความเข้มข้นและรสชาติเฉพาะเจาะจงตามที่ลูกค้าต้องการได้อีกด้วย

“สำหรับปีแรกตั้งเป้ายอดขาย 10 ล้านบาท และต่อไปจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศ นำร่องที่ฟิลิปปินส์และเวียดนามในปี 2561 รวมถึงจะเดินหน้าทำวิจัยและพัฒนาต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม อาทิ ซาวครีมผงและครีมชีส คาดว่า จะสามารถเติบโตได้ 100% ทุกปี” บุญส่ง กล่าว