"ตะขาบ5ตัว”ชูนวัตกรรมบุกตลาดต่างประเทศ

"ตะขาบ5ตัว”ชูนวัตกรรมบุกตลาดต่างประเทศ

สเปรย์พ่น-ซอฟต์เจลแก้ไอ นวัตกรรมพลิกโฉมครั้งใหญ่ให้กับ “ตะขาบ 5 ตัว” แบรนด์ที่อยู่คู่คนไทย90 ปีเตรียมลงทุน 300ล้านบาทตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมสินสาครตั้งเป้า1,000 ล้านบาทภายใน 7 ปี

สเปรย์พ่น-ซอฟต์เจลแก้ไอ นวัตกรรมพลิกโฉมครั้งใหญ่ให้กับ “ตะขาบ 5 ตัว” แบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 90 ปี เตรียมลงทุน 300 ล้านบาทตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมสินสาครอีก 2 ปีข้างหน้า ตั้งเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาทภายใน 7 ปีสเปรย์พ่น-ซอฟต์เจลแก้ไอ นวัตกรรมพลิกโฉมครั้งใหญ่ให้กับ “ตะขาบ 5 ตัว” แบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 90 ปี เตรียมลงทุน 300 ล้านบาทตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมสินสาครอีก 2 ปีข้างหน้า ตั้งเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาทภายใน 7 ปี


การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภครวมทั้งภาคธุรกิจ โดยเฉพาะโรงงานที่จะต้องผลิตสินค้าตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคให้มากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่ง บริษัท ห้าตะขาบ (ซิมเทียนฮ้อ)จำกัด ผู้ผลิตยาแก้ไอที่ต้องรีบปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด


พลิกแบรนด์ด้วยนวัตกรรม


เมธา สิมะวรา ทายาทรุ่น 3 ของแบรนด์ตะขาบ 5 ตัว มองความท้าทายต่อจากนี้คือ การทำให้แบรนด์เติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องนำวิทยาศาสตร์เข้ามาควบคุมมาตรฐานคุณภาพให้เป็นที่ยอมรับ และต่อยอดไปสู่การพัฒนานวัตกรรม โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เนื่องจากมีแนวคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่


อาทิ น้ำยาสกัดเข้มข้นในขวดสเปรย์พ่นแก้ไอ พร้อมทั้งต่อยอดไปเป็นซอฟต์เจล โดยอัดน้ำยาเข้มข้นนี้เข้าไปในเจลาติน เมื่อผู้บริโภคอมแล้วตัวยาจะเข้าไปแตกในปากและไม่ทำให้ลิ้นดำ นอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าแล้วยังตอบโจทย์ความต้องการของต่างประเทศอีกด้วย


  ทางไบโอเทคจะใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการออกแบบฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปาก ที่มาจากสมุนไพรในประเทศ ทั้งยาพ่นและยาอมแบบซอฟต์เจลให้มีฤทธิ์เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อในช่องปาก ซึ่งที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ยาพ่นส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ฉะนั้น ผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นการพัฒนายาพ่นจากฝีมือนักวิจัยไทยสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มีหลากหลายอายุ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่นิยมยาลูกกลอน ขณะนี้ยาแก้ไอทั้ง 2 สูตรนี้ยังอยู่ระหว่างพัฒนา ยังไม่วางจำหน่าย


ก่อนหน้านี้ได้ให้ไบโอเทคช่วยแก้ปัญหาการเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับความต้องการของตลาด ด้วยการร่นระยะเวลาการผลิตให้สั้นลง โดยยังคงเป็นตำรับยาเดิมทั้งรสชาติ ปริมาณสารออกฤทธิ์และเนื้อยาเท่าเดิม อีกทั้งได้มาตรฐานสากล รวมทั้งมาตรฐานการตรวจวัดการออกฤทธิ์ต่างๆ ต้องดีขึ้น ปรากฏว่า สามารถลดระยะเวลาการผลิตครึ่งหนึ่งจากเดิม 30 วันเหลือ 15 วัน ต่อมาเข้าไปช่วยในการออกแบบเครื่องจักรและ ล่าสุดการวางแผนระบบโครงสร้างโรงงานใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมสินสาครตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ


“ตามแผนการลงทุนต่อจากนี้ไปอีก 2 ปีคือการสร้างโรงงานใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จ.สมุทรสาคร เป้าหมายเพื่อขยายกำลังการผลิตและสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ในอนาคตจะนำยาก้อนก่อนทำลูกกลอนไปสกัดเป็นน้ำเข้มข้น เพื่อผลิตเป็นสเปรย์แก้ไอ ถัดไปจะทำเป็นซอฟต์เจลอมแล้วแตกในปาก ใช้สูตรเดิมเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ แต่ยังคงสรรพคุณเหมือนเดิมเกี่ยวกับคอโดยใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น”

วทน.เสริมแกร่งธุรกิจ


สำหรับการสร้างโรงงานใหม่ในนิคมสินสาครใช้งบลงทุนไม่รวมที่ดินประมาณ 300 ล้าน ในการสร้างอาคารและระบบผลิตที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าโรงงานยาแผนปัจจุบัน จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออก 30% จากรายได้รวมประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่ 70% เป็นรายได้ในประเทศ ที่มาจากตลาดท่องเที่ยว 40% ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน


จากการประเมินกลุ่มลูกค้า 70% เป็นชาวต่างชาติ จึงเกิดแนวคิดที่ขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น แทนที่จะรอให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าในประเทศ เพราะแบรนด์ตะขาบไม่ใช่โลคัลแบรนด์แต่เป็นโกลบอลแบรนด์


ดังนั้น จึงต้องพัฒนาระบบการผลิตให้เป็นมาตรฐานสากล รวมทั้งโปรแกรมบริหารจัดการต่างๆ ทั้งยังนำระบบเซนเซอร์เข้ามาใช้โรงงาน เพื่อคำนวณระบบการผลิตของเครื่องจักร เพราะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทในอีก2 ปีข้างหน้า ที่จะยกระดับเป็นโรงงาน 3.0 หลังจากนั้นจะนำข้อมูลทั้งหมดทั้งลูกค้าและคู่ค้ามาเชื่อมโยงกันกลายเป็น 4.0 ภายใน 10 ปี คาดว่าจะสามารถคืนทุนภายใน 5-6 ปี สัดส่วนรายได้ในประเทศและต่างประเทศ 50:50 รายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ภายใน 7 ปี
“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ตะขาบ 5 ตัวขยับจากไซส์เอสมาเป็นแอลแล้ว และยังสามารถพัฒนาไปสู่ไซส์เอกซ์แอลได้ในอนาคตด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.)”