สุธิดา มงคลสุธี เบื้องหลัง ‘ดิสตี้’ เบอร์หนึ่ง

สุธิดา มงคลสุธี  เบื้องหลัง ‘ดิสตี้’ เบอร์หนึ่ง

ซินเน็คมุ่งเป็นเซอร์วิสคอมพานีไม่ใช่เพียงแค่ดิสทริบิวเตอร์

พิสูจน์ฝีไม้ลายมือมาให้เห็นพอสมควรแล้วกับหน้าที่ “หัวเรือใหญ่” ของ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ดิสทริบิวเตอร์ (ดิสตี้) เบอร์หนึ่งในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีในประเทศไทย

วันนี้ "สุธิดา มงคลสุธี" ยังต้องเผชิญโจทย์ใหม่ๆ ที่เข้ามาท้าทายอยู่ตลอดเวลา เพราะความสำเร็จในอดีต ไม่ใช่เครื่องการันตีอนาคต การสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในยุค “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น” ไม่ใช่เส้นทางที่จะก้าวข้ามไปได้ง่ายๆ และมีความหมายเกินกว่าแค่การ “ซื้อมา ขายไป”

สุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าท่ีบริหาร บมจ.ซินเน็ค เปิดมุมมองว่า ภาพรวมตลาดไอทีไทยปี 2562 ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทว่าคงไม่ได้หวือหวา เทียบกับปีก่อนหน้าคาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% ไม่ถึงกับเป็นตัวเลขสองหลัก

เธอวิเคราะห์ว่า สภาพโดยทั่วไปค้าปลีกไอทีรายเล็กค่อนข้างเงียบ ที่มีแนวโน้มว่าไปได้ดีคือเชนสโตร์ ขณะที่การลงทุนไอทีของภาคเอกชนมีทิศทางเป็นบวก ส่วนภาครัฐยังเงียบๆ ต้องรอดูสถานการณ์หลังการเลือกตั้งว่าจะออกมาในทิศทางใด แต่ทั้งนี้มีมุมมองเชิงบวกว่าจะดี และหวังจะได้เห็นการลงทุนของภาครัฐรวมถึงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่เป็นรูปธรรม

ส่วนปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง หลักๆ มาจากทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจโลก และกำลังซื้อผู้บริโภคที่มีความไม่แน่นอน ประเมินจากเมื่อไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งปกติจะเป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีการจับจ่ายสูง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ผู้บริโภคดูระมัดระวัง ไม่อยากใช้เงิน

ปักธงเซอร์วิสคอมพานี

สุธิดา กล่าวว่า กลยุทธ์ธุรกิจปีนี้มุ่งนำเสนอสินค้าควบคู่ไปกับบริการหลังการขายที่ครอบคลุม แม้ขณะนี้รายได้ที่มาจากการบริการมีสัดส่วนไม่ถึง 5% แต่จะพยายามผลักดันให้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเป็นตัวเลขสองหลักให้ได้โดยเร็วที่สุด ซินเน็คมุ่งเป็น “เซอร์วิส คอมพานี” ไม่ใช่เพียงแค่ดิสทริบิวเตอร์อีกต่อไป

ด้านผลิตภัณฑ์ นอกเหนือไปจากวีอาร์และโดรนที่เริ่มบุกเบิกไปแล้ว จะเน้นสินค้าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์(ไอโอที) ที่เป็นแกดเจ็ทมากขึ้น คาดว่าที่มีศักยภาพเติบโตได้ดีมีทั้งสมาร์ทโฮม สมาร์ทบิลดิ้ง สมาร์ทแฟคทอรี่ และเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า มากกว่านั้นขยายแบรนด์กล้อง คลาวด์ เครือข่าย เกมมิ่งโน้ตบุ๊ค และตลาดโซลูชั่นสำหรับธุรกิจ

เฉพาะสมาร์ทโฟนเตรียมเสริมสินค้าค่ายแอ๊ปเปิ้ลให้ครบไลน์ เพิ่มโฟกัสภาคการศึกษาและตลาดโครงการ และจะเสริมสมาร์ทโฟนใหม่ที่จะมาเป็น “ไฟท์ติ้ง แบรนด์” เพื่อบุกตลาดต่างจังหวัดแบรนด์ “Neffos” ผลิตโดยทีพีลิงค์ สมาร์ทโฟนแม้เป็นตลาดที่เริ่มอิ่มตัวแต่ยังมีช่องว่างโดยเฉพาะระดับกลางถึงล่าง

ขณะที่ อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นตามลำดับคือปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) ซึ่งซินเน็คเองมองเห็นศักยภาพการเติบโตในตลาดนี้ โดยที่จะเริ่มได้เห็นคือโรโบติกส์ และซอฟต์แวร์โซลูชั่นบิ๊กดาต้า

เสริมพันธมิตรเจาะกัมพูชา

ผู้บริหารซินเน็คบอกว่า อีกหนึ่งงานที่ให้ความสำคัญจะเพิ่มน้ำหนักด้านการตลาด โดยการเข้าไปช่วยพันธมิตรต่างจังหวัดพัฒนาการบริการและหน้าร้าน พบว่าหลายๆ รายมีศักยภาพที่จะขยายธุรกิจส่วนที่เป็นตลาดโครงการ ดังนั้นซินเน็คจะเข้าไปช่วยเติมเต็ม และมีแผนเสริมทีมงานรองรับรับการเติบโต โดยเฉพาะทีมวิศวกร

ปัจจุบัน ซินเน็คมีช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 5 พันรายทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกขนาดตั้งแต่ระดับเล็ก กลาง จนถึงรายใหญ่ และถือว่าเป็นดิสทริบิวเตอร์ที่มีตัวแทนจำหน่ายมากที่สุดในประเทศ ด้านสินค้าเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ไอทีกว่า 60 ราย ปีนี้จะเพิ่มอีก 7-8 ราย เฉพาะในตลาดสมาร์ทโฟนนับได้ว่าครอบคลุมรายหลักๆ ทั้งหมด รวมถึงระดับท็อปของตลาดทั้งหัวเว่ย ซัมซุง แอ๊ปเปิ้ล ฯลฯ

ส่วนความคืบหน้าการทำตลาดต่างประเทศ บริษัทมองเห็นโอกาสการเติบโตในกลุ่มประเทศอินโดจีน ทั้งเมียนมา, ลาว และกัมพูชา ขณะนี้มีสาขาที่เมียนมาและลาวอยู่แล้ว ส่วนกัมพูชาเนื่องจากมีความผันผวนทางการเมืองสูง ดังนั้นจะใช้โมเดลที่ต่างออกไป โดยกำลังมองหาพันธมิตรในท้องถิ่นมาทำงานร่วมกัน

โดยรวมตลาดต่างประเทศทำรายได้ให้บริษัทได้เกือบแต่ 1 พันล้านบาทแล้ว หลักๆ ยังมาจากประเทศเมียนมา

ยึดที่ 1 ดิสทริบิวเตอร์ไอที

ซีอีโอซินเน็ค เผยว่า ทุกปีตั้งเป้าการเติบโตไว้มากกว่าภาพรวมตลาดไอที ปี 2561 ผลประกอบการเติบโต 10-15% เกินเป้าหมาย 37,500 ล้านบาทที่ตั้งไว้ ส่วนปีนี้หวังว่าจะเติบโตได้อีกไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาท หรืออย่างน้อย 10-15% เช่นเดียวกัน

ปัจจัยมาจากการมีฐานธุรกิจที่แข็งแรง สินค้าหลากหลาย ครอบคลุมทุกไลน์อัพในกลุ่มไอที สามารถปรับตัวได้เท่าทันกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว สำคัญร่วมมือทำธุรกิจกับผู้ผลิตระดับท็อปของอุตสาหกรรม ทั้งมีกำลังเสริมสามารถซีเนอร์ยีธุรกิจในเครือเพื่อร่วมกันทำตลาดและผลักดันให้ภาพรวมผลประกอบการเติบโต

ปัจจุบัน สามกลุ่มธุรกิจหลักที่ทำรายได้ให้กับซินเน็คคือ โทรศัพท์มือถือสัดส่วนกว่า 40% ที่เหลือมาจากเน็ตเวิร์คกิ้ง และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ(คอนโพเนนท์)

“เราเป็นดิสทริบิวเตอร์ไอทีเบอร์หนึ่งและหวังว่าจะเป็นต่อไป แม้มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบแต่มีมุมมองเชิงบวกและเชื่อว่าจะทำได้ดี"