สภาดิจิทัลเร่งเวิร์คช้อปคนพันธุ์ไอที

พร้อมตั้งคลาวด์แห่งชาติดันไทยสู่ฮับดิจิทัล

สภาดิจิทัลฯเตรียมทำเวิร์คช็อปร่วมมือหอการค้าไทย ช่วยผู้ประกอบการใช้ดิจิทัลพัฒนาธุรกิจ พัฒนาทรัพยาการมนุษย์สู่ไอทีเต็มตัว เล็งตั้งคลาวด์ระดับชาติ-ภูมิภาค หนุนไทยเป็นฮับดิจิทัล ระบุปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำแผนยุทธศาสตร์คาดเสร็จไม่เกิน 3-6 เดือน ชี้รัฐบาลคาดหวังบทบาทการทำงานไว้สูงมาก จำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ให้เกิดความร่วมมือเอกชน ประชาชน และภาครัฐ ดันอันดับการแข่งขันทางดิจิทัลให้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ในลำดับที่ 40 ของโลก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (11 พ.ย.) มีการประชุมหารือความร่วมมือระหว่างหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาโดยดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (สภาดิจิทัลฯ) เพื่อวางแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นตามเป้าหมายตามที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล

โดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลฯ กล่าวว่า ความร่วมมือในการทำงานร่วมกันกับหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนั้น จะทำแผนร่วมกันในการพัฒนา และส่งเสริมธุรกิจโดยการใช้ดิจิทัล โดยจะทำเวิร์คช็อปร่วมกัน เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ และการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันในระดับท้องถิ่นควบคู่กันไป เพราะรัฐบาลตั้งเป้ากับบทบาทของสภาดิจิทัลฯเป็นอย่างมาก จึงต้องวางยุทธศาสตร์ความร่วมมือร่วมกันทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งน่าจะความร่วมมือที่ดีที่สุด

สำหรับหลักการความร่วมมือของสภาดิจิทัลฯและหอการค้าไทย และสภาหอการค้านั้น ทั้งสองหน่วยงานจะช่วยกันพัฒนาศักยภาพของธุรกิจ และทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การสร้างตัววัดและมาตรฐานทางดิจิทัล สมาชิกของสภาดิจิทัลฯพร้อมจะช่วยสนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการ ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ภารกิจหลักคือการร่วมมือกันสร้างเนชั่นแนล คลาวด์ เซ็นเตอร์ (คลาวด์แห่งชาติ) และ รีจินอล คลาวด์ เซ็นเตอร์ (คลาวด์ระดับภูมิภาค) เพื่อให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น

นายศุภชัย กล่าวว่า จากการประเมินศักยภาพทางการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ ปี 2562 พบว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 40 มีคะแนนอยู่ที่ 68.4 คะแนน จากทั้งหมด 63 ประเทศ ขณะที่ปีก่อนอยู่ในอันดับที่ 39 โดยประเมินจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.ความรู้เกี่ยวกับดิจิทัลและเทคโนโลยี 2.เฟรมเวิร์คทางเทคโนโลยี เงินทุน และกฎหมาย และ 3.วิสัยทัศน์ และความคล่องตัวของธุรกิจ รวมถึงทรัพยากรมนุษย์เพื่อการปรับตัวสู่อนาคต

ดังนั้น การดึงเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถช่วยลดความท้าทายและขยับอันดับของไทย ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ของสภาดิจิทัลฯคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ใน 3-6 เดือนจากนี้ และภายในปีนี้จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนแผนงานทั้งหมดให้สามารถเดินหน้าไปอย่างดี

ทั้งนี้ พันธกิจทางยุทธศาสตร์ของสภาดิจิทัลกำหนดไว้ 5 ด้าน คือ 1.การช่วยสร้างมาตรฐานและตัววัดใหม่ให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัล 2.การบูรณาการทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมดิจิทัลให้ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่าน 3.การสร้างบุคลากร การทักษะใหม่ ปรับปรุงทักษะที่มีอยู่ (รีสกิล-อัพสกิล) และการปรับเปลี่ยนทัศนคติให้คนในระบบอุตสาหกรรม 4.การสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเกิดความตื่นรู้ ความเข้าใจในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล และ 5.พัฒนาสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นดิจิทัลฮับเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภูมิภาค

“เพื่อให้ถึงตามภารกิจที่สภาดิจิทัลกำหนดไว้ จะต้องมีแนวทางที่ต้องดำเนินการคือ การปรับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลใหม่ การเปิดทางให้เกิดการลงทุนให้เพียงพอสำหรับธุรกิจ สร้างความมั่นใจและความไว้วางใจ สร้างนวัตกรรม และทรัพย์สินทางปัญญา ,สร้างความยั่งยืนในการพัฒนาทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ซึ่งการเวิร์คช็อปจะทำให้เกิดประโยชน์ไปถึงสถาบันการศึกษาด้วย เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาทักษะและเพิ่มทักษะให้บุคลากรของประเทศ”