Choco CRM ส่งวิถีการตลาดดิจิทัล ช่วยพลิกโฉมสเกลอัพเอสเอ็มอี
‘ช็อคโก้’ จุดพลุผ่านฉลุยเข้ารอบ 6 ทีมสุดท้าย LINE Scale Up ยืนหนึ่งด้านแพลตฟอร์มระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า พระเอกสำคัญในการสร้างฐานลูกค้าประจำให้กับร้านค้าต่อยอดสู่การกลับมาใช้ซ้ำ
“ช็อคโก้” พลิกโฉมสเกลอัพหวังติดปีกสู่ยูนิคอร์น
‘ช็อคโก้’ จุดพลุผ่านฉลุยเข้ารอบ 6 ทีมสุดท้าย LINE Scale Up ยืนหนึ่งด้านแพลตฟอร์มระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า พระเอกสำคัญในการสร้างฐานลูกค้าประจำให้กับร้านค้าต่อยอดสู่การกลับมาใช้ซ้ำ พร้อมติดปีกโปรดักส์เน้นนำการตลาดยุค 4.0 – ปลั๊กอินประมวลผลบนระบบคลาวด์อเมซอน เทรนด์ใหม่มาแรงดูแลไอทีองค์กรเตรียมเปิดใช้ Q3 ปี 63 เพื่อเร่งฝีเท้าสเกลอัพระบบหลังบ้าน-หน้าบ้านหวังดันสู่ยูนิคอร์นไทยตัวแรก
สิรสิทธิ์ สุริยพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ช็อคโก้ คาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ช็อคโก้ได้ร่วมเป็น 1 ใน 6 ทีมที่ผ่านเข้ารอบโครงการ Line Scale Up 2019 ที่ถูกจัดขึ้นโดย LINE (ประเทศไทย) ซึ่งนับเป็นความท้าทายในขั้นตอนของการ Scale Up หรือการขยายธุรกิจของสตาร์ทอัพโดยส่วนใหญ่ โดยไลน์เป็นเสมือนพี่เลี้ยงและเปรียบเสมือนศูนย์กลางในการเชื่อมต่อทุกองค์ประกอบชั้นดีของธุรกิจสตาร์ทอัพ เนื่องจากทุกเทคสตาร์ทอัพอยากเชื่อมธุรกิจของตนเข้ากับไลน์ เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า “ไลน์” เป็นหนึ่งในแอพพลิเคชั่นยอดฮิตของคนไทยที่มีสัดส่วนการใช้งานสูงถึง 44 ล้านคน ซึ่งอย่างแรกที่ไลน์ได้เข้ามาช่วยคือ 1.โปรแกรม API เราสามารถเชื่อมระบบCRM ของเราเข้ากับแชทของผู้ใช้งานไลน์ อย่างที่ช็อคโก้เข้าไปเชื่อมในครั้งนี้คือระบบเมมเบอร์ Line official account ก็จะปลั๊กอินให้ลูกค้าสามารถดูบัตรสะสมแต้มได้ 2.ช่วยในเรื่องของคอนเนคชั่นในเครือข่ายของไลน์ เราได้เข้าไปทำงานร่วมกับหลายๆทีมในไลน์ และ3.เรื่องของคอนเนคชั่นระหว่างสตาร์ทอัพด้วยกันและคอปอร์เรททั้งในประเทศและต่างประเทศ
การเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้เพื่อต้องการต่อยอดคอนเนคชั่นและองค์ความรู้ต่างๆ อีกส่วนคือการวางกรอบเป้าหมายใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่
- ในเรื่องของ R&D เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มให้มีความแข็งแกร่ง สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในธุรกิจที่หลากหลายได้เป็นอย่างดีโดยการหาโซลูชั่นใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาประกอบใช้ในแพลตฟอร์ม
- ขยายธุรกิจไปสู่หัวเมืองต่างจังหวัด
- เป็นงบการตลาด เพื่อดึงเอสเอ็มอีรายใหม่เข้ามาเป็นลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้นับว่าต้องอาศัยเงินทุนในการซัพพอร์ตอย่างมหาศาล
เน้นฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ทุกบิสซิเนส
จากการที่“ช็อคโก้ ”มองเห็นว่าการตลาดของทั่วโลกและประเทศไทยในปัจจุบันเริ่มเข้าสู่ยุค Data-Driven Marketing อย่างเต็มตัว ข้อมูลไม่ใช่แค่เทรนด์อีกต่อไปแต่กลายเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาด จึงต้องการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันให้ทัดเทียมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ผ่านโซเชียลมีเดีย ด้วยระบบบริหารจัดการเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า CRM (Customer Relationship Management) ในระดับราคาที่เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึง นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ
จุดเด่นของบริษัทคือ ระบบ CRM ที่ครอบคลุมทุกมิติของลูกค้าประจำ (Loyalty Program) อีกทั้งสามารถเชื่อมโยงกับโปรแกรมขายหน้าร้าน หรือ POS ผ่านการเขียนโปรแกรมพัฒนาบนคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมความสามารถต่างๆ เช่น สามารถตัดสต็อก ทำให้ร้านค้านำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วนำเสนอบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด อาทิ ระบบคูปอง บัตรสะสมแต้ม โดยทีมงานจะคอยวิเคราะห์ข้อมูลและจัดส่งเป็นรายงานให้เจ้าของกิจการได้รับทราบว่าในแต่ละเดือนนั้นพฤติกรรมลูกค้าเป็นอย่างไร พร้อมทั้งให้คำแนะนำในเรื่องของการจัดทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย
ตีตลาดยุค 4.0-ปลั๊กอินเชื่อมอเมซอน
ทั้งนี้ Choco CRM ได้เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 4 ปี มีฐานลูกค้าที่ใช้บริการกว่า1,600 ราย แบ่งออกเป็นฝั่งเอสเอ็มอี ไม่ว่าจะเป็น โคเอ็นซูชิบาร์ ฟู่ฟู่ชาบู และฝั่งคอปอร์เรท เช่น ไฮยีน อีกทั้งปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งาน (End-Users) กว่า 1.8 ล้านราย พร้อมทั้งมีแผนจะขยายฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 2,800 ราย และจำนวน ผู้ใช้งานที่ถือเป็นผู้บริโภคของลูกค้าที่ใช้ระบบกว่า 3 ล้านรายภายในปี 2563
“นอกจากนี้ช็อคโก้จะมีการพัฒนาระบบหลังบ้าน ซึ่งเมื่อลูกค้าล็อคอินเข้ามาก็จะเห็นรายชื่อฐานลูกค้าที่ใช้บริการทั้งหมดและทำเป็น Personalization ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะคนด้วยคอนเทนต์ สินค้า บริการ ช่องทางการสื่อสาร ประสบการณ์ที่เหมาะกับคนๆนั้น ถ้ามองในแง่ของคนทำธุรกิจก็คือกำไรที่มากขึ้น จากสถิติพบว่าการทำการตลาดแบบ Personalization ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรอีก 15% แต่ถ้ามองในแง่ของผู้บริโภคกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้ 75% ของผู้บริโภคมาซื้อของที่ร้านโดยเฉพาะร้านค้าปลีกมากขึ้น คาดว่าปีนี้จะสามารถทำรายได้สูงถึง 70 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 100%”
พร้อมทั้งอนาคตตั้งเป้าจะปลั๊กอินการประมวลผลบนระบบคลาวด์ Amazon Web Services (AWS) ร่วมกับอเมซอน ซึ่ง ถือเป็นบริการ Manage Service เทรนด์ใหม่มาแรงในการดูแลรักษาระบบไอทีสำหรับองค์กรที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างระบบแนะนำเอาไว้ใช้ส่วนตัวกับแอพฯของตนได้โดยไม่ต้องมีประสบการณ์ด้านแมชชีนเลินนิ่ง เมื่อช็อคโก้ปลั๊กอินเข้ากับอเมซอนแมชชีนเลิร์นนิ่งจะทำหน้าที่รับเดต้าจากการป้อนแล้วรวบรวมออกมาเป็นการแนะนำข้อมูลต่างๆสู่ผู้ใช้งาน จึงถือเป็นแพลตฟอร์มระบบคลาวด์ที่ครอบคลุมและแน่นอนว่าช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความคล่องตัว สร้างสรรค์นวัตกรรมที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูลและจะเริ่มเปิดใช้งานได้ในไตรมาส 3 ปี 2563