ทศวรรษแห่ง 'แบตเตอรี่' เปลี่ยนโลก
นับแต่ช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา แบตเตอรี่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ใช้ในอุปกรณ์พกพาหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ในปัจจุบันยังถูกนำมาใช้กักเก็บพลังงาน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้กับรถยนต์ไฟฟ้าและบ้านที่อยู่อาศัย
การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพก็เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ถูกนำมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่าทางธุรกิจมากขึ้น ข้อมูลจาก UBS ระบุว่า ขนาดตลาดของแบตเตอรี่จะเติบโตต่อเนื่องและสูงถึง 426,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 13 ล้านล้านบาท
จากรายงานที่ตรงกันของ Bloomburg New Energy Finance (BNEF), International Renewable Energy Agency (IRENA) และ European Energy Research Alliance (EERA) ระบุว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่า 20% ขณะที่ราคาเฉลี่ยก็จะลดลงมากกว่า 50% และถ้าหากมองไปอีก 10 ปีข้างหน้าถึงปี 2573 คาดว่าราคาจะลดเหลือเพียง 1 ใน 3 ของราคาในปัจจุบัน
ใน 5-10 ปีข้างหน้า การติดตั้งแบตเตอรี่ที่ใช้ในครัวเรือนเพื่อเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์จะมีเวลาคุ้มทุนเร็วขึ้น เหลือต่ำกว่า 8 ปี ทำให้มีความเป็นไปได้และน่าลงทุนในการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่และนำไปสู่การขยายโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และในยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาประสิทธิภาพของแบตเตอรี่และราคาที่ถูกลงจะสามารถลดระยะเวลาคุ้มทุนเหลือเพียง 3-4 ปี และสามารถเพิ่มระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จไฟในแต่ละครั้ง ได้ใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบัน
รถยนต์ไฟฟ้าจะแพร่หลายและเป็นอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก ล่าสุดนอกจาก Tesla แล้วค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Ford และ Volkswagen ก็หันหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนถูกลงจนถึงจุดที่คุ้มค่าต่อการลงทุน
BloomburgNEF ระบุว่า ปัจจุบันราคาแบตเตอรี่อยู่ที่ 156 ดอลลาร์หรือประมาณ 5,000 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ลดลงมาจากราคาเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ 1,100 ดอลลาร์หรือประมาณ 35,000 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง คาดการณ์ว่าราคาจะต่ำกว่า 100 ดอลลาร์หรือประมาณ 3,200 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2567 ซึ่งจะเป็นจุดพลิกผัน (Tipping Point) ให้รถยนต์ไฟฟ้าคุ้มค่ากว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ในรายงานยังระบุว่า ภายในปี 2583 รถยนต์ที่ขายใหม่จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าถึง 57% และจะมีรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนถึง 30% นอกจากในรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว เครื่องบินไฟฟ้าและเรือไฟฟ้าจะมีความเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าในปัจจุบันยังอาจจะไม่คุ้มค่าหรือต้องใช้เวลาคืนทุนนาน และเจ้าของบ้านยังไม่สามารถขายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าหรือกริดไฟฟ้า แต่ในอนาคตระบบการซื้อขายไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Blockchain จะเป็นเรื่องธรรมดาและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ในอีกทศวรรษข้างหน้า แบตเตอรี่จะมีความจุพลังงานมากขึ้นและราคาที่ถูกลง แบตเตอรี่จะถูกพัฒนาให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย
ด้วยเหตุนี้ จึงน่าตื่นเต้นที่เราคงจะเห็นการพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ และโลกที่เปลี่ยนไปด้วยแบตเตอรี่ที่เข้ามาในชีวิตของเราในช่วงอีก 10 ปีหรือทศวรรษหน้ามากกว่าตลอด 100 ปีหรือศตวรรษที่ผ่านมาเสียอีก
บทความโดย : ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช., เมธีวิจัยอาวุโส สกว.