'บีทู'ปรับโมเดลธุรกิจสู้โควิด เทคโอเวอร์ WAKE UP COFFEE
เครือโรงแรม “บีทู” ปรับแผนทำธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดตอบสนองความต้องการตลาดนักท่องเที่ยวชาวไทย เข้าเทคโอเวอร์ร้านกาแฟแบรนด์ดังในเชียงใหม่ WAKE UP COFFEE ให้บริการในโรงแรม
ดร.นิรันดร์ จาวลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงแรมบีทู บูติก แอนด์ บัดเจท เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจโรงแรมในเครือของบีทู ตั้งแต่เดือนมีนาคม-มิถุนายน 2563 ต้องปิดให้บริการชั่วคราว ทำให้สูญเสียรายได้กว่า 100 ล้านบาท
ซึ่งปกติในแต่ละปีธุรกิจภาพรวมของเครือบีทูทั่วประเทศ จะมีรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท แต่หลังจากที่ได้กลับมาเปิดบริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา สถานการณ์เริ่มดีขึ้น เนื่องจากตลาดหลักของเครือบีทูเป็นกลุ่มชาวไทย โดยในเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา อัตราเข้าพักเริ่มฟื้นตัวมาอยู่ในระดับร้อยละ 50 แต่ยังไม่มีกำไรเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะขายห้องพักในราคาทุน เพื่อให้ธุรกิจเดินต่อไปได้
"หากประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้มีบทเรียนในการทำธุรกิจหลายด้านด้วยกัน โดยที่ผ่านมาจะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงิน และเงินสำรองทุนหมุนเวียน ประกอบกับได้รัฐบาลมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาให้กับแรงงานที่อยู่ในเครือบีทู 40 สาขาทั่วประเทศไทย ที่มีมูลค่าการลงทุนร่วม 4,000 ล้านบาท"
ทำให้ปัจจุบันนี้การดำเนินธุรกิจของเครือบีทู สามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤติครั้งนี้ได้ แม้ว่าจะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น และคาดหวังว่าความเข้มแข็งของการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ของประเทศไทย จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ทำให้ภาคธุรกิจเริ่มฟื้นตัว และทบทวนการทำธุรกิจแบบยั่งยืนมากขึ้น
“ในระหว่างที่ทุกธุรกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้ต้องมาทบทวนการทำธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดขณะนี้มีการแข่งขันสูงขึ้น และแม้แต่ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ในปี 2564 จะต้องเจอกับภาวะวิกฤติหนักกว่าปีนี้ เพราะปริมาณนักท่องเที่ยวน้อยลง และมาตรการความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินก็จะกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้มีแนวคิดว่า ต่อไปลูกค้าจะไม่ใช่แค่เข้า่มาใช้บริการห้องพักอย่างเดียว หรือการรับได้สิทธิพิเศษเท่านั้น แต่การเข้าถึงด้านการบริการทั้งหมด ที่มีเทคโนโลยี เป็นกลไกขับเคลื่อนให้เหมาะสมกับยุดNew Normal และมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทก์ให้กับลูกค้าชาวไทยด้วย” นิรันดร์ กล่าว
ล่าสุด ทางเครือบีทูได้แตกไลน์ธุรกิจ โดยเพิ่งเข้าไปเทคโอเวอร์ ร้านกาแฟWAKE UP COFFEE โลคอลแบรนด์ชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมี13สาขาในหลายจังหวัดของประเทศไทย เป็นร้านกาแฟครบวงจรที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เพราะเล็งเห็นว่าเป็นธุรกิจร้านกาแฟที่มีแนวโน้มที่ดีสามารถต่อยอดได้ และเป็นจังหวะที่กำลังสร้างโมเดลใหม่ให้กับธุรกิจโรงแรมในเครือบีทู
เมื่อได้คุยกับทางผู้บริหารWAKE UP COFFEE มีมุมมองในการสตาร์อัพธุรกิจในทิศทางเดียวกัน เดิมโรงแรมบีทูไม่ได้ขายอาหาร กาแฟ ดังนั้น การที่จะนำเอาร้านกาแฟที่มีพื้นฐานของลูกค้า และมีผลิตภัณฑ์กาแฟตั้งต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำเข้ามาอยู่ในโรงแรมบีทูทั่วประเทศไทย จะเป็นอีกหนึ่งโมเดลของธุรกิจที่ลูกค้าเข้าถึงเครือบีทูมากกว่าการเข้ามาพักได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ดร.นิรันดร์ กล่าวอีกว่า ในสิ้นปีนี้เครือโรงแรมบีทู ยังคงเดินหน้าเปิดโรงแรมที่สร้างไว้อีก 4 สาขา ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 2แห่ง และกรุงเทพ 2 แห่ง โดยจะนำโมเดลธุรกิจใหม่มาดำเนินการสาขาแรกที่ โรงแรมบีทูริเวอร์ไซด์ ติดกับแม่น้ำปิงริมสะพานนครพิงค์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งที่นี่จะเห็นรูปโฉมใหม่ของเครือโรงแรมบีทู ที่มีความหลากหลายที่มากกว่าธุรกิจโรงแรม ซึ่งต่อไปก็จะเห็นภาพของร้าน กาแฟWAKE UP COFFEE ที่ปัจจุบันมีอยู่แล้ว 13 สาขาขยับขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกไปในโรงแรมเครือบีทูทั่วประเทศไทย โดยทั้งโรงแรม และร้านกาแฟ ก็ต่างมีอัตลักษณ์เป็นโลคอลแบรนด์ของเชียงใหม่ที่พร้อมจะก้าวไปสู่ทุกมุมเมืองในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 ทิศทางในการทำธุรกิจโรงแรม และธุรกิจกาแฟของเครือบีทูจะเดินคู่ขนานกัน และตามแผนจะเปิดสาขาอีก 4 แห่ง ในจังหวัดสุรินทร์, ภูเก็ต, กระบี่ และขอนแก่น โดยเป็นแผนงานที่ได้เตรียมการก่อสร้างไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนสาขาที่จะเพิ่มนอกเหนือจากนี้ ที่ได้ซื้อที่ดินไว้แล้วนั้น อาจจะต้องชะลอออกไปก่อน
โดยจะประเมินจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิิจภาพรวมด้วย แต่ยังมีความมั่นใจว่า จากมาตรการต่างๆของภาครัฐ และการให้ความร่วมมือที่ดีของประชาชนชาวไทยทุกคน จะทำให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ และภาคธุรกิจก็จะทยอยกลับมาถอดบทเรียน และปรับตัวในการทำธุรกิจอย่างไรให้อยู่รอดได้