“เมอร์เซอร์” ดึงเทคโนโลยี คาดการณ์ ‘เงินเดือน’ ไทย เผยปี 64 เพิ่ม แม้เผชิญโควิด
เมอร์เซอร์ (Mercer) เปิดผลสำรวจ “อัตราค่าตอบแทนรวมในประเทศไทยปี 2563” จาก 577 บริษัทในไทย พบว่า การจัดสรรงบประมาณ“การขึ้นเงินเดือน”ครึ่งปีแรกปี 63ของอุตสาหกรรมต่างๆ เฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 3.7%นับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่อัตราการเพิ่มเงินเดือนต่ำกว่า 5%
เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ และโรคระบาด ส่งผลต่อการขึ้นเงินเดือนและโบนัสแตกต่างกันออกไปในแต่ละอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันเงินเดือนในประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นในปี 2564 แม้ยังเกิดผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยบริษัทต่าง ๆ ในภาพรวมคาดการณ์จัดสรรงบประมาณเพื่อขึ้นเงินเดือนที่อัตรา 5% จากผลการสำรวจช่วงครึ่งแรกของปี 2563 หากการสำรวจเชิงลึกชี้ว่าค่ากลางจะอยู่ที่ 3%
ซึ่งข้อมูลข้างต้นมาจากผลการสำรวจอัตราค่าตอบแทนรวมในประเทศไทยประจำปี 2563 (Annual Thailand Total Remuneration Survey (TRS) 2020) โดยเมอร์เซอร์ (Mercer) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำทางด้านทรัพยากรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการพนักงาน ค่าตอบแทนและสวัสดิการสำหรับพนักงาน การเกษียณอายุ และการลงทุน
นายพิรทัต ศรีสัจจะเลิศวาจา Career Products Business Leader บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ มีการตรวจสอบและทบทวนงบประมาณสำหรับการขึ้นเงินเดือนอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น โดย 2 ใน 5 ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออัตราการขึ้นค่าตอบแทนปี 2563 ที่บริษัทวางแผนไว้อย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งการสำรวจมีบริษัทเข้าร่วมทั้งหมด 577 บริษัทจากในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยระหว่างเดือนเมษายนและมิถุนายนของปีนี้ และได้ดำเนินการสำรวจเพิ่มเติมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเกี่ยวกับสภาพการณ์ตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
“โดยอัตราการขึ้นเงินเดือนที่ประมาณการไว้นี้เกิดขึ้นจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ถดถอย โดยคาดว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จะลดลง 7.8% ในปี 2563 แม้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น 3.5% ในปี 2564 ก็ตาม หากอนาคตก็ยังคงไม่แน่นอน” พิรทัต กล่าว
เพิ่มเงินเดือนลดต่ำลงในรอบ 10 ปี
ในขณะที่บริษัทเพียง 22 บริษัทจาก 577 แห่งที่ร่วมการสำรวจครั้งนี้รายงานว่าไม่มีการขึ้นเงินเดือนในปี 2563 ค่ากลางของอัตราการขึ้นเงินเดือนของปี 2563 ปรับลดลงอยู่ที่ 3.7% เมื่อเปรียบเทียบกับที่ตั้งงบประมาณไว้ที่ 4.8% จึงถือเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่อัตราการขึ้นเงินเดือนต่ำกว่า 5% ซึ่งผลกระทบนี้แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม
พิรทัต กล่าวเสริมว่า การขึ้นเงินเดือนในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมไฮเทค อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอุปกรณ์การโลจิสติกส์ มีอัตราการขึ้นเงินเดือนสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมเนื่องจากลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมนั้น ๆ
โดยอุตสาหกรรมไฮเทคนั้นมีอุปสงค์เพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน (New way of work) ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์นั้นมีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่งจึงทำให้อัตราการขึ้นเงินเดือนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากการหดตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน มีอัตราการขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดที่ 2.5%
โบนัสคงที่ปี 63 แต่ลดลงในปี 64
“เมื่อพิจารณาโดยรวม โบนัสตามงบประมาณยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2.3 เท่าของเงินเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับ 2.2 เท่าของเงินเดือนในปี 2562 โดยอุตสาหกรรมไฮเทคและเคมีภัณฑ์ยังคงมีอัตราสูงสุด โดยมีบริษัทเพียง 5% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจที่ไม่มีการให้โบนัส ซึ่งแนวโน้มในอนาคตอันใกล้ 28% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจคาดว่าการจ่ายโบนัสในปี 2564 จะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่ 39% ยังไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องของโบนัสได้ ณ ขณะนี้ และมีบริษัทเพียง 5% ที่คาดว่าจะเพิ่มงบประมาณสำหรับโบนัสในปี 2564” พิรทัต กล่าว
ด้าน จักรชัย บุญยะวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หากพิจารณาในทุกแง่มุม บริษัทต่าง ๆ ยังคงอยู่ในสถานะของการเฝ้าจับตาและรอคอย โดยเฝ้าติดตามและตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิดไปพร้อมทบทวนกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนของบริษัทในปี 2564 โดยบริษัทส่วนใหญ่มีมุมมองต่อการจ้างงานในเชิงบวก
"โดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจและงานที่ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้สถานการณ์ที่ยังคงไม่แน่นอนในปีนี้ กลับมีธุรกิจที่เพิ่มจำนวนพนักงานมากกว่าธุรกิจที่พยายามลดพนักงาน และคาดว่าภายในสิ้นปี 2563 บริษัทกว่า 23% ที่ร่วมทำการสำรวจครั้งนี้จะมีการเพิ่มพนักงานใหม่ โดยมี 19% ที่ระบุถึงแผนการสรรหาพนักงานในปี 2564"
ในขณะที่อนาคตยังคงแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน บริษัทต่างมีความกังวลต่องบประมาณทางด้านบุคลากร ดังนั้น บริษัทควรใช้เวลา และพิจารณาแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานแบบองค์รวมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทควรใช้โอกาสนี้ทบทวนกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนแบบองค์รวมและมองให้ละเอียดกว่าการจ่ายค่าตอบแทนเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว
โดยพิจารณาถึงคุณภาพชีวิตโดยรวมของพนักงานให้พัฒนาทั้งความก้าวหน้าในอาชีพ และมีสุขภาพกายและใจที่ดี ความผูกพันของพนักงานที่มีต่อบริษัท และการรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทจะกลายเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่เคยบนเส้นทางแห่งการฟื้นฟูธุรกิจของบริษัท
“การสำรวจอัตราค่าตอบแทนรวมโดยเมอร์เซอร์ (Mercer’s Total Remuneration Survey) คือการสำรวจและศึกษาของเมอร์เซอร์เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนประจำปีและการกำหนดมาตรฐานผลประโยชน์ ซึ่งระบุถึงแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนและนโยบายเรื่องผลประโยชน์ในปัจจุบัน" จักรชัย กล่าว
รวมถึงงบประมาณ แนวโน้มการจ้างงานและการเข้าออกของพนักงานในปีถัดไป นอกจากนี้ เมอร์เซอร์ยังทำการสำรวจย่อยอย่างสม่ำเสมอตลอดปีเพื่อติดตามผลกระทบจากสภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการจ่ายค่าตอบแทนและแนวโน้มด้านแรงงาน
ทั้งนี้ “เมอร์เซอร์” คือ ผู้ให้คำปรึกษาและนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาและช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพ การเงินและอาชีพของบุคลากรที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมอร์เซอร์มีพนักงานกว่า 25,000 คน ใน 44 ประเทศทั่วโลก