‘เฟซบุ๊ค’ เปิดเทรนด์ 'โซเชียล' นำทิศทางธุรกิจปี 2564

ปี 2563 ที่ผ่านมาสร้างความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของสังคม ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของผู้คน รูปแบบการทำงาน รวมถึงการใช้เวลาว่าง

แพร ดํารงค์มงคลกุล ผู้อำนวยการ เฟซบุ๊ค ประเทศไทย แสดงทัศนะว่า หากพิจารณาถึงผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่มีต่อผู้คนและเศรษฐกิจ ช่วงเวลานี้ยังถือเป็นโอกาสให้ได้ทบทวนและวางแผนงานในอนาคตสำหรับประเทศไทยในวันข้างหน้า

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งก่อตัวจากการกลับมาอีกครั้งของโรคระบาด บทบาทของการสื่อสารเพื่อการเชื่อมต่อกันและทำธุรกรรมทางช่องทางออนไลน์จึงยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น

สำหรับเฟซบุ๊คได้เห็นปรากฏการณ์ "ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น" ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดและย่นระยะเวลาในการปรับตัวด้านดิจิทัล จากเดิมที่มีการคาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาในการเติบโตถึง 5 ปี กลายเป็นเกิดขึ้นได้เพียงเวลาไม่กี่เดือน

เธอกล่าวว่า ผู้คนใช้เวลาบนโลกออนไลน์กันมากขึ้น และเนื่องจากความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจ ความคาดหวังของผู้คนที่มีต่อธุรกิจต่างๆ ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยเหตุนี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ จึงมีโอกาสที่จะเป็นเป็นแรงผลักดันในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจสำหรับอนาคตที่จะมาถึง

‘วีดิโอสั้น-ไลฟ์’ อิทธิพลแรง

เฟซบุ๊คเผยว่า เทรนด์โซเชียลมีเดียที่น่าจับตามองบนแพลตฟอร์ม 5 ด้าน ประกอบด้วย การใช้โทรศัพท์มือถือ การรับชมเนื้อหาในรูปแบบวีดิโอ การแชร์ประสบการณ์แบบชั่วคราว การส่งข้อความ และอีคอมเมิร์ซ

ทั้งนี้ก้าวเข้าสู่ปี 2564 เทรนด์ทั้งหมดนี้ยิ่งมีสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายความว่าธุรกิจทุกขนาดต้องปรับตัวเข้าสู่การขายออนไลน์ ปีที่ผ่านมา 45% ของผู้บริโภคชาวไทยหันมาซื้อของบนช่องทางออนไลน์เป็นส่วนใหญ่

หากเจาะลึกว่าเทรนด์ต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลต่อธุรกิจในประเทศไทยอย่างไรและธุรกิจต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับเทรนด์ใดบ้างในปีนี้สามารถประเมินได้ว่า

ปี 2563 มาตรการล็อกดาวน์และการรักษาระยะห่างทางสังคมทำให้เกิดปรากฏการณ์ความนิยมการชมไลฟ์สตรีมมิงและวีดิโอขนาดสั้นไปทั่วโลก จากเทรนด์เหล่านี้ คาดว่าจะได้เห็น “การเติบโตของการชอปปิงออนไลน์รูปแบบใหม่” ที่ผสมผสานความบันเทิงและการขายสินค้าเข้าด้วยกัน ปลุกกระแสโดยผู้นำเทรนด์และเหล่าครีเอเตอร์ และสำหรับธุรกิจที่ต้องการเป็นที่จับตามองนั้น สิ่งสำคัญคือการพิจาณาสร้างสรรค์เอกลักษณ์ของแบรนด์ให้โดดเด่นบนโลกออนไลน์

นอกจากนี้ การสร้างประสบการณ์การค้นพบแบรนด์และธุรกิจต่างๆ โดยธุรกิจจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าผู้คนในทุกช่วงอายุพร้อมเปิดรับช่องทางใหม่ๆ ในการค้นพบสินค้า รวมถึงวิถีการชอปปิงรูปแบบใหม่ ปี 2563 ผู้บริโภค 78% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค้นพบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากช่องทางออนไลน์เป็นส่วนใหญ่

เทรนด์นี้ต้องอาศัยแนวคิดเชิงนวัตกรรม กล่าวได้ว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่ต้องกล้าทดลองบริการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น การซื้อของผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียโดยตรง การไลฟ์สดขายของ การซื้อของแบบ Click-And-Collect หรือบริการสมาชิกต่างๆ ฯลฯ

ขณะเดียวกันยังหมายความว่าธุรกิจควรค้นหาแนวทางใหม่ๆ สำหรับแต่ละช่องทางและแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์และนำแบรนด์ออกสู่การค้นพบ

จับตาการค้าข้ามพรมแดน

เทรนด์สุดท้ายที่น่าจับตามองคือ การซื้อขายผ่านการทักแชท (Conversational Commerce) และการค้าข้ามพรมแดน การส่งข้อความเป็นหนึ่งในช่องทางที่ผู้คนใช้เพื่อพูดคุยกับธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด

ข้อมูลระบุว่า ช่วงปีที่ผ่านมา ได้เห็นจำนวนบทสนทนาระหว่างผู้บริโภคและแบรนด์ต่างๆ บนแมสเซ็นเจอร์ และอินสตาแกรม เพิ่มขึ้นกว่า 40% และสำหรับ WhatsApp มีผู้คนกว่า 175 ล้านคนทั่วโลกที่ส่งข้อความไปยังบัญชีธุรกิจในแต่ละวัน

สำหรับการโทรศัพท์หรืออีเมลถึงแบรนด์เป็นตัวเลือกไม่ค่อยตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันมากนัก ยิ่งกว่านั้น ผู้บริโภคชื่นชอบการโต้ตอบแบบทันทีและทุกที่ทุกเวลา (always-on) ผ่านการส่งข้อความมากกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่าช่องทางการส่งข้อความ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับข้อมูลผลิตภัณฑ์ อัปเดตสถานะการจัดส่ง และตอบคำถามทั่วไป เป็นสิ่งสำคัญ

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังช่วยสร้างโอกาสการค้าขายแบบข้ามพรมแดน ธุรกิจต่างๆ จึงจำเป็นต้องรู้จักสร้างเครือข่ายภายในภูมิภาคและพร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าธุรกิจจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก สิ่งสำคัญคือต้องทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก ค้นหาง่าย สามารถมอบประสบการณ์ผ่านการสนทนาและบริการแบบไร้พรมแดน ทั้งหมดนี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง