‘พาว มิราเคิล’ ต่อยอดงานวิจัยดึง 'กัญชง-กัญชา' เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์!

‘พาว มิราเคิล’ ต่อยอดงานวิจัยดึง 'กัญชง-กัญชา' เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์!

“พาว มิราเคิล” หนุนวิจัยแปรรูปพืชเศรษฐกิจใหม่ 'กัญชา-กัญชง' ผนึกพันธมิตร ส่งโปรดักท์ทางเลือกออกสู่ตลาดไตรมาส 2 ปีนี้ พร้อมเร่งขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ หวังสร้างการรับรู้แบรนด์ วางแผนเตรียมเจาะตลาดจีน-ซีแอลเอ็มวี

161661131898

หนุนพืชเศรษฐกิจไทยสู่โปรดักท์นวัตกรรม

นายอธิชาติ ชุมนานนท์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัทฝ่ายการตลาด บริษัท พาว มิราเคิล จำกัด สตาร์ทอัพผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสมุนไพรไทยภายใต้แบรนด์ “พาว มิราเคิล” กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯสามารถผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อย่างในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้นำพาว ซุยยากุ เอสเซนส์ ออกสู่ตลาดเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน พบว่าได้รับผลตอบรับดีเกินคาด เฉพาะไตรมาสแรกเติบโตขึ้น 30% 

ซึ่งครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของบริษัทที่ได้นำเอาผลผลิตจากกัญชาและกัญชง มาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ผ่านบริษัท ไทยสติ๊ค เฮิร์บ จำกัด และ วิสาหกิจชุมชนบ้านทุ่งแพม ผู้ผลิตสารสกัด CBD และ HEMP จากกัญชงและ กัญชา

161661152227

ซึ่งเป็นพันธมิตรในการส่งสารสกัดคุณภาพระดับ Medical Grade ให้กับซีเอ็มเอช เชียงใหม่ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานคุณภาพระดับประเทศ ซึ่งนับเป็นข้อตกลงความร่วมมือ จะก่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภคทุกคนที่จะได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงมีงานวิจัยรับรองชัดเจนตั้งแต่วัตถุดิบ เทคโนโลยีการสกัดที่ให้ผลในระดับของการรักษา และการผลิตด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย

"เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ด้วยความที่การแพร่ระบาดของโควิดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และหนึ่งในนั้นคือ ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากกัญชงและกัญชา ที่จะช่วยในเรื่องของการผ่อนคลายและให้ความสดชื่นเป็นหลัก โดยน้ำมันเมล็ดกัญชง (Hemp seed oil) และสารสกัดจากเมล็ดกัญชง (Hemp seed Extract) จะอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินอี บี บี1 บี2 โพแทสเซียม แมกนีเซียม และกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 นอกจากนี้น้ำมันเฮมพ์ยังเต็มไปด้วยโปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งการจะนำคุณประโยชน์เหล่านี้มาใช้ได้ ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีการสกัดขั้นสูง"

ปักฐานการผลิตภายใน 1 ปี

พร้อมทั้งได้มีการลงทุนสร้างโรงเรือนปลูกเพาะปลูกกัญชา-กัญชงที่เป็นสายพันธุ์ไทย คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ในส่วนของกำลังการผลิตเขามองว่า ไทยสติ๊กเฮิร์บ ได้ทำการปลูกร่วมกับรัฐวิสาหกิจชุมชน จะเป็นการสร้างอีโคซิสเต็มการเพาะปลูกที่สมบูรณ์ 

โดยตั้งเป้าที่จะส่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดภายในปี 64 ไม่ว่าจะเป็น 1.สเปรย์ดับกลิ่นปาก 2.สเปรย์ฉีดพ่นหมอน เพื่อช่วยผ่อนคลาย หรือช่วยนวดแบบอโรม่า 3.อาหารเสริมกัญชงรูปแบบแคปซูล ขณะเดียวกันมีแผนที่จะพัฒนาโปรตีนทางเลือกที่ผสม CBD และ กาแฟ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 100 ล้านบาท โดยจะเริ่มลอนซ์โปรเจ็คแรกประมาณช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้

อธิชาติ กล่าวเสริมว่า เดิมทีกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์จะเป็นกลุ่มรักสุขภาพ โดยมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แต่ระยะหลังจะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมีอายุต่ำกว่า 30 ปี ดังนั้นบริษัทจึงต้องการที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในระดับ mass จึงต้องมีการทำการตลาดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น  

เตรียมรุกตลาด CLMV

ส่วนการตลาดตั้งงบประมาณไว้ 30-40% ของยอดขาย โดยเจาะกลุ่มคนเมือง ทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ พร้อมทั้งวางแผนจะขยายสู่โมเดิร์นเทรด อาทิ ตำรับไทย นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะเจาะตลาดต่างประเทศ โดยเน้นไปที่จีน และกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ ลาว เวียดนาม พม่า กัมพูชา

161661141626

อธิชาติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับตลาดกัญชาและกัญชง  ปัจจุบันได้ร่วมพัฒนาสินค้าต้นแบบกับสถาบันวิจัยของรัฐ ในกลุ่ม hemp seed oil ซึ่งปัจจุบันต้นแบบแล้วเสร็จ อยู่ในระหว่างยืนยันผลการทดสอบ stability test

นอกจากนี้ยังได้วางมาตรฐานการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดโดยกำหนด 1. ทุกผลิตภัณฑ์ต้องมี certificate ใบรับรองจากหน่วยงานที่ตรวจสอบได้ว่าไม่มีสารต้องห้าม ไม่มีสารอันตราย (Non-Toxic)  2. ผ่านการทดสอบการแพ้ (Allergy Free) 3. ผ่านการทดลองใรระดับคลีนิค ในสัตว์ทดลอง และมนุษย์ (Clinical Trial-Animal Trial-Human Trial)  ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลิตภัณฑ์ของพาว มิราเคิล ในกลุ่มกัญชาและกัญชง จะได้รับการตอบรับที่ดี ตั้งเป้าผลประกอบการปี 64 โต 30% รวมรายได้กว่า 100 ล้านบาท