'เอ็นไอเอ' ลุยปั้นดีพเทคสตาร์ทอัพ รองรับ 'อุตสาหกรรมอวกาศ'

'เอ็นไอเอ' ลุยปั้นดีพเทคสตาร์ทอัพ รองรับ 'อุตสาหกรรมอวกาศ'

“เอ็นไอเอ” ขานรับนโยบายกระทรวง อว. เตรียมสานฝันปั้นดีพเทคสตาร์ทอัพรองรับอุตสาหกรรมอวกาศ พร้อมตั้งเป้า 3 ปี ไทยต้องมีธุรกิจสตาร์ทอัพสายอวกาศรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่

รับนโยบายลุยโปรเจ็คสเปซ

จากการที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เดินหน้าใช้เทคโนโลยีอวกาศขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพื่อเป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของประเทศ โดยได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงอย่างเป็นทางการร่วมกันทั้ง 12 หน่วยงาน ภายใต้ “ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย” (Thai Space Consortium : TSC) และหนึ่งในนั้นคือ "สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ" ที่ได้มีการเตรียมเดินหน้าส่งเสริมผู้ประกอบการ และสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ให้หันมาทำธุรกิจอวกาศมากขึ้นผ่าน “โครงการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านเศรษฐกิจอวกาศ Space Economy: Lifting Off 2021” เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจอาวกาศ

161771307185

พันธุ์อาจ ชัยรัตน์  ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA  กล่าวว่า NIA ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้โดยมีเป้าหมายในการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านอวกาศของไทย โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพ และเครือข่ายที่มีอยู่ เพื่อพัฒนาบุคลากรและนำองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นมาสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมอวกาศของไทย ตลอดจนผลักดันให้เกิดการนำประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศไปพัฒนาประเทศอย่างแท้จริงโดยเฉพาะการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ตลาด และห่วงโซ่อุปทานของเศรษฐกิจอวกาศ

มูลค่าอุตสาหกรรมกว่า 5 หมื่นล้านบาท

รวมทั้งสนับสนุนการจัดตั้งสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจอวกาศเพื่อให้เกิดการลงทุน เนื่องจากในอนาคตเศรษฐกิจอวกาศจะมีมูลค่ามากกว่า 50,000 ล้านบาท และจะมีความต้องการสูงมากยิ่งขึ้น เพราะแน่นอนว่าเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอวกาศไม่ได้มีแค่เฉพาะเรื่องของการส่งดาวเทียม หรือการส่งยานอวกาศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงเทคโนโลยีสำหรับปล่อยยานอวกาศ การพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัย เช่น การประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง วัสดุขั้นสูง รวมไปถึงการต่อยอดในการนำเอาเทคโนโลยีอวกาศไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นด้วย

161771308737

พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า จากความร่วมมือดังกล่าว NIA จึงมุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความสามารถทางด้านนวัตกรรมในอุตสาหกรรมอวกาศและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และสามารถเข้าถึงแหล่งทุนนวัตกรรม โดยได้ริเริ่มกิจกรรมบ่มเพาะ “โครงการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านเศรษฐกิจอวกาศ ภายใต้ชื่อ Space Economy: Lifting Off 2021” ขึ้น ในรูปแบบ “Co-creation” คือ เน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ร่วมทำงานจริงกับหน่วยงานพันธมิตรและนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจ ทุกทีมจะได้ลงมือทำงานกับผู้มีประสบการณ์และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอวกาศ รวมถึงได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ โดยจะคัดเลือกสตาร์ทอัพจำนวน 10 ราย

ปั้นเครือข่ายประชาคม

ซึ่งผู้สนใจไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอวกาศ แต่ต้องมีแนวคิดที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรม มีทีมงานและเทคโนโลยีพื้นฐานที่พร้อมจะพัฒนาต่อยอดสู่เทคโนโลยีด้านอวกาศได้ โดยสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการจะมีโอกาสได้นำเสนอผลงานกับนักลงทุนที่มีความสนใจลงทุนในเทคโนโลยีเชิงลึกและบริษัทที่มีความสนใจในอุตสาหกรรมอวกาศหรือมีความต้องการนำเทคโนโลยีอวกาศไปประยุกต์ต่อยอดในอุตสาหกรรมอื่น รวมถึงการสร้างให้เกิดเป็นเครือข่ายประชาคม (community) ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่จะร่วมกันสนับสนุนและผลักดันให้เกิดสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านเศรษฐกิจอวกาศขึ้นในประเทศไทย

161771310084

เป้าหมายสำคัญของ NIA คือการส่งเสริมสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ในการทำซอฟต์แวร์อยู่แล้วให้มีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีเชิงลึก และมีพื้นที่ในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้สตาร์ทอัพด้านอุตสาหกรรมอวกาศในบ้านเรามีค่อนข้างน้อย ดังนั้นสิ่งที่จะต้องเร่งส่งเสริมคือ การผลักดันให้สตาร์ทอัพเดิมที่มีอยู่เข้าถึงงานวิจัย เทคโนโลยี และสามารถนำต่อยอดได้ในเชิงธุรกิจได้ โดย NIA ตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 3 ปี จะต้องสามารถสร้างดีพเทคสตาร์ทอัพได้ 100 ราย หนึ่งในนั้นจะต้องมีสตาร์ทอัพด้านสเปซเทคประมาณ 12-15 ราย เนื่องจากสเปซเทคจะเป็นตัวบงชี้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมมาขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ พันธุ์อาจ กล่าวสรุป