"ดีพเทคสายเกษตร" ช่วยชาวนารับมือดินฟ้าอากาศ

"ดีพเทคสายเกษตร" ช่วยชาวนารับมือดินฟ้าอากาศ

เอ็นไอเอ โชว์เคสสตาร์ทอัพด้านการเกษตรกลุ่ม “ดีพเทค” ที่ช่วยเกษตรกรให้รอดพ้นจากสภาพปัญหาความไม่แน่นอนของดิน ฟ้า อากาศ พร้อมเปิดมิติใหม่ทางนวัตกรรมที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมหลักของประเทศก้าวไปสู่ทิศทางที่ดียิ่งขึ้น

โดรนตรวจติดตามต้นอ้อย
เริ่มต้นที่ เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนเพื่อการเกษตร ในกิจกรรมโครงการระบบวิเคราะห์การเจริญเติบโตของอ้อยด้วยโดรนแบบ TAILSITTER เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่ายโดยโดรน ซึ่งมีความละเอียดสูงทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาที่ส่งผลให้อ้อยเจริญเติบโตได้ไม่ดีพอ รวมไปถึงตรวจหาบริเวณที่อ้อยล้มหรือไม่เจริญเติบโตเพื่อทำการปลูกทดแทน โดยปกติเกษตรกรจะไม่สามารถมองได้จากระดับสายตา เนื่องจากอ้อยที่โตแล้วจะสูงถึง 2-3 เมตร ดังนั้น การใช้ภาพถ่ายมุมสูงจากโดรนจึงสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างดี

 

ในปัจจุบันได้ทดลองใช้ระบบนี้ในพื้นที่ จ.อุทัยธานี และจ.ขอนแก่น โดยมีพื้นที่ที่ใช้บริการเฉลี่ยแล้วกว่า 50,000 ไร่ และพบว่าเกษตรกรสามารถส่งอ้อยไปขายได้ราคาดีมากยิ่งขึ้น บริษัทคาดหวังว่าระบบนี้จะช่วยให้เกษตรกรเพาะปลูกอ้อยมีความแม่นยำ ช่วยเพิ่มปริมาณของผลผลิตต่อพื้นที่ รวมไปถึงสามารถกะระยะเวลาในการตัดอ้อยได้อย่างเหมาะสม


มหิศร ว่องผาติ ประธานกรรมการ บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด กล่าวว่า ในแต่ละปีเกษตรกรได้ผลผลิตจากการปลูกอ้อยต่ำมาก ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลก็พบปัญหาที่ส่งผลให้ผลผลิตในแต่ละปีต่ำกว่าที่ควรจะเป็น คือเกษตรกรวางแผนการตัดอ้อยในระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ค่าน้ำตาลในต้นอ้อยต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ส่งผลถึงราคาขายที่ต่ำกว่าต้นทุน 
 

รวมไปถึงการที่เกษตรกรไม่สามารถตรวจสอบจุดที่อ้อยล้มและไม่เจริญเติบโต เนื่องจากการปลูกอ้อยแต่ละครั้งจะปลูกเป็นจำนวนหลายไร่ การตรวจสอบด้วยแรงงานคนไม่สามารถทำได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้แต่ละปีเกษตรกรไร่อ้อยได้รับผลผลิตไม่มากพอ ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาที่เกษตรกรกำลังเผชิญ ทางบริษัทจึงได้พัฒนาระบบการวิเคราะห์การเจริญเติบโตของอ้อยด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน เพื่อตรวจสอบปัญหาที่เกษตรไม่สามารถทำได้ด้วยตาเปล่า


ภาพถ่ายดาวเทียมชี้สภาพดิน
ต่อกันที่ระบบบริหารจัดการการเพาะปลูกข้าวแบบรวมกลุ่มด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีและภาพถ่ายจากดาวเทียม
รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ลิสเซินฟิลด์ จำกัด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของโครงการมาจากปัญหาของชาวนาที่ได้ผลผลิตต่ำกว่าความเป็นจริง จากการเก็บข้อมูลพบว่า สภาพดินเป็นตัวแปรหลักในการสร้างผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ ทางบริษัทจึงพัฒนาระบบตรวจสอบสภาพดินผ่านระบบฟาร์มเอไอ เพื่อช่วยในการปรับปรุงดินให้เหมาะสม 
 

นอกจากการตรวจสภาพดินแล้ว บริษัทยังเก็บบันทึกข้อมูลพร้อมทั้งจัดทำโมเดล เพื่อทำการวิเคราะห์และพยากรณ์สภาพอากาศ ประเมินประสิทธิภาพการเจริญเติบโตแบบอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลกรณีฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้ำในดินจากน้ำฝน รวมไปถึงมีระบบการเตือนอัตโนมัติในพื้นที่ที่การเจริญเติบโตต่ำด้วยระบบเอไอ 


“เทคโนโลยีที่นำมาใช้นั้นช่วยให้เกษตรมีข้อมูลมากพอสำหรับนำไปวางแผนเพราะปลูกข้าวได้อย่างเหมาะสมมากกว่าการคาดคะเนจากประสบการณ์ของตัวเกษตรกรเอง ปัจจุบันได้ทดลองใช้ระบบนี้ในแปลงนาประมาณ 200 ไร่ที่ จ.สุพรรณบุรี มีทั้งนาข้าวแบบดั้งเดิมและแบบอินทรีย์”
 

บริษัทคาดหวังว่าจะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระบวนการทำนาข้าวให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่การเริ่มต้นปลูกข้าวไปจนถึงการหาช่องทางการจำหน่ายใหม่ ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมไปถึงการลดค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็น การซื้อปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ข้าว สารเคมี ให้ได้ประมาณ 20% จากรายจ่ายเดิมที่เกษตรกรต้องจ่าย สำหรับช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลนั้น ผู้เพาะปลูกสามารถเข้าถึงได้ทางแอพพลิเคชั่นฟาร์มเอไอ-เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ 


นอกจากนี้ระบบยังมีการเก็บและรายงานข้อมูลผ่านบน Web Dashboard สำหรับให้วิสาหกิจชุมชน กลุ่มสหกรณ์ เกษตรจังหวัดได้เข้าไปไปใช้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกข้าวเพื่อนำไปวางแผนในการเพิ่มผลผลิตและมูลค่าให้แก่เกษตรกรผู้ทำนาข้าวต่อไป

แอพเช็คปริมาณฝนล่วงหน้า
ปิดท้ายกันที่ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น “ใบไม้-รีคัลท์” ที่จะช่วยเกษตรกรจัดการกระบวนการเพาะปลูกอย่างครบวงจร โดย อุกฤษ อุณหเลขกะ กรรมการผู้จัดการบริษัท รีคัลท์ ประเทศไทย จำกัด และทีมงาน ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรด้วยเทคโนโลยีเหมือนในต่างประเทศ จึงเริ่มต้นเก็บข้อมูลและศึกษาปัญหาที่เกษตรกรไทยจะต้องเผชิญทุกปี ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาสภาพอากาศเป็นตัวแปรสำคัญ รวมไปถึงช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลด้านการเกษตรที่มีอยู่อย่างจำกัด 


ดังนั้นจึงได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น ใบไม้-รีคัลท์ ขึ้นมา เพื่อช่วยเกษตรกรวางแผนการเพาะปลูกตั้งแต่ต้นทาง โดยเริ่มจากการเช็คปริมาณฝนซึ่งแอพฯ สามารถคำนวณได้ล่วงหน้านานกว่า 9 เดือน การวิเคราะห์ปัญหาที่เกษตรกรจะต้องเผชิญในแต่ละช่วงฤดู ไปจนถึงกระบวนการเก็บเกี่ยวและขายสินค้าทางการเกษตร โดยเกษตรกรสามารถบริหารจัดการกระบวนการทำการเกษตรผ่านแอพพลิคชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้ามาใช้บริการแอพพลิเคชั่นมากกว่า 4 แสนราย ส่วนใหญ่ทำพืชไร่ เช่น นาข้าว ไร่อ้อย มันลำปะหลัง และจากการติดตามผลพบว่าระบบสามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้มากขึ้นกว่า 30 % นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลของเกษตรกร และเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงงานอุตสาหกรรม หรือธนาคาร

เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างถูกกฎหมาย ไม่ต้องอาศัยการกู้เงินนอกระบบเพื่อมาลงทุน ส่วนในอนาคตจะขยายบริการด้านการเกษตรให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อปุ๋ยผ่านแอพพลิเคชั่น การเรียกใช้งานโดรนฉีดพ่น และช่องทางการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบอีคอมเมิร์ซได้ด้วย