‘นูทานิคซ์’ เผยเทรนด์เทคฯ พลิก วิถีทำงาน-ชีวิต ในโลกดิจิทัล
“นูทานิคซ์” เปิดบทวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทุกอุตสาหกรรมในปี 2565 "ไฮบริดคลาวด์-ไฮบริดเวิร์ค ปัญญาประดิษฐ์ และความปลอดภัย" คือองค์ประกอบสำคัญของการปรับเปลี่ยนสู่ “ไฮเปอร์ดิจิทัล”
ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ ขยายความว่า ไฮบริดคลาวด์-ไฮบริดเวิร์ค คือ ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จทุกแง่มุม การถูกผูกมัดจากการใช้คลาวด์ใดคลาวด์หนึ่ง (cloud lock-in) จะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความกังวลขององค์กร
สืบเนื่องจากองค์กรต่างๆ ใช้งานพับลิกคลาวด์มากขึ้น แต่สถานการณ์นี้จะขับเคลื่อนให้เกิดการใช้กลยุทธ์ไฮบริด มัลติ-คลาวด์ต่างๆ ตามมา เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัททั้งหลายได้เลือกใช้คลาวด์แต่ละประเภท ที่มีความโดดเด่นได้ตามความเหมาะสม ทั้งมีอิสระและทางเลือกว่าจะให้แอพพลิเคชั่นและข้อมูลของตนทำงานอยู่บนคลาวด์ประเภทใดได้ด้วย
ปีนี้จะเป็นปีที่องค์กรเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น เพราะการที่ทีมไอทีใช้เวิร์คโหลดบนคลาวด์หลายประเภท ทำให้ต้องมองหาวิธีที่จะทำให้คลาวด์ทุกประเภทที่ใช้อยู่ทำงานสอดคล้องกัน
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงาน Data Center and Cloud Service in Thailand, Board of Investment คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศจะมีสัดส่วน 25% ของจีดีพีประเทศภายในปี 2570 หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย คือ บริการด้านคลาวด์ต่างๆ ซึ่งความต้องการบริการเหล่านี้ เกิดจากบริการดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว เช่น อีคอมเมิร์ซ, การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ และการสตรีมเนื้อหาดิจิทัล
รวมถึงบริการใหม่ๆ ที่กำลังจะมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ ผู้บริโภคไทยกำลังผลักดันให้เกิดบริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นดิจิทัล และนั่นทำให้ความต้องการบริการดิจิทัลที่ทำงานบนคลาวด์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
เทคฯขับเคลื่อนแรงงานยุคใหม่
ทวีพงศ์ กล่าวว่า เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักให้ทุกมุมมอง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุคลากรรุ่นใหม่ เช่น ผลักดันให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กร, วัฒนธรรมองค์กร, สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, การทำงานที่ยืดหยุ่น ที่สำคัญ คือ ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัทใดก็ตามที่เรียนรู้วิธีปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ จะได้เปรียบเมื่อถึงเวลาที่ต้องการรักษาและโน้มน้าวพนักงานที่มีความสามารถสูงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
การระบาดของโควิด-19 กำลังลดระดับลง และพนักงานเริ่มกลับมาทำงาน ทีมไอทีของบริษัทต้องปรับตัว ด้วยการการจัดหาเครื่องมือใหม่ให้ทีมงานที่มีการทำงานแบบไฮบริดได้ใช้ทำงานร่วมกัน
ปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัย
ขณะที่ ในปีนี้ ทีมไอทีจะยังคงให้ความสำคัญความปลอดภัยในระดับสูง โดยมีความปลอดภัยของข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญลำดับต้นๆ เนื่องจากมีการใช้ข้อมูลแบบไฮบริดแพร่หลายมากขึ้น ทีมไอทีต้องมีเครื่องมือใช้ติดตามตรวจสอบและกำกับดูแลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
ปี 2565 จะเป็นปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 และภัยคุกคามที่พุ่งเป้าไปยังระบบซัพพลายเชน ประสบการณ์ที่องค์กรได้รับจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วและมากมาย (hyper-digital) จะยังไม่จบ แต่จะเร่งความเร็ว และต้องการโซลูชั่นที่มีสมรรถนะด้านความปลอดภัยเร็วขึ้น เพื่อให้บริการทีมงานที่ทำงานจากระยะไกล รวมถึงแอพพลิเคชันและข้อมูลที่พนักงานเหล่านี้ใช้
ขณะที่ การเจาะระบบทางไซเบอร์ จะซับซ้อนและเจาะจงขึ้นเรื่อยๆ เทรนด์ทำงานจากบ้านจะทำให้สถานการณ์นี้แย่ลง คาดการณ์ได้ว่าปี 2565 จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นการเจาะระบบทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ โดยใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ
ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในวงการด้วยเอไอ
ปี 2565 ยังจะเป็นปีของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าองค์กรจำนวนมากจะพิจารณาใช้เอไอ จัดการความท้าทาย และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เสริมประสิทธิภาพให้กับการทำงานด้านไอที และระบบอัตโนมัติ แต่อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าบริษัทหลายแห่ง ยังไม่ประสบความสำเร็จจากการใช้ เอไอ ในระยะสั้นเป็นครั้งแรก ซึ่งดูเหมือนว่า องค์กรต่างๆ ที่ทำตามขั้นตอนในการใช้เอไอ ทีละขั้นตอน จะประสบความสำเร็จมากกว่า
ด้วยการเริ่มต้นที่การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน และมีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเป็นจุดเริ่มต้น แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาจำนวนมากพร้อมกันในทันที อย่างไรก็ตามทั้งบริษัทที่ทำตามขั้นตอนของตนในการใช้ เอไอและบริษัทที่จะใช้ประโยชน์จากโมเดลที่พัฒนาโดยองค์กรวิจัยระดับแนวหน้าหรือโปรเจกต์ของบริษัทต่างๆ ก็จะขึ้นเป็นผู้นำในวงการเช่นกัน