‘แผนที่ดิจิทัล’ เครื่องมือแห่งอนาคต กุญแจพัฒนาโลกด้วยเทคโนโลยี
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์หรือเทคโนโลยีจีไอเอส (GIS) มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และได้มีการนำมาใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการบูรณาการขับเคลื่อนข้อมูล
เพื่อวิเคราะห์และสร้างมุมมองในมิติต่างๆ ให้สามารถสนับสนุนการตัดสินใจและนำไปสู่การกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ปัจจุบันได้เห็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านแผนที่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนาในหลากหลายมิติ
ความหมายของ “GIS - Mapping Common Ground” คือ การใช้แผนที่เพื่อเป็นกลยุทธ์ เป็นวิธีการและเป็นการสื่อสารที่จะสร้างความเข้าใจต่างๆ ร่วมกันสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถทำงาน แก้ไขปัญหา โดยมีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน และนำไปสู่ผลสำเร็จของงาน
ทำไมต้อง ‘แผนที่’
อีเอสอาร์ไอ วิเคราะห์ว่า แผนที่เปรียบเสมือนเป็นสื่อหรือเป็นภาษาพื้นฐานที่สามารถจะเล่าเรื่องราวต่างๆ สามารถนำมาใช้ในการช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงทำให้เข้าใจบริบทภาพรวมต่างๆ ได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน แผนที่ไม่ได้บอกเพียงแค่ว่าสิ่งที่เราสนใจคืออะไร แต่ยังบอกได้อีกด้วยว่าสิ่งนั้นสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอะไรได้อีกในอนาคต ทำให้มีไอเดียต่างๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ปัจจุบันเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับแผนที่อย่าง GIS ก้าวหน้าไปรวดเร็วมาก และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
อย่างไรก็ดี ปัจจจุบันเทคโนโลยี GIS นั้นเป็นมากกว่า “แผนที่” กล่าวได้ว่า เป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาปฏิวัติการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเดิมๆ ที่มีความซับซ้อน เต็มไปด้วย ข้อมูล ตัวเลข หรือตาราง ที่นำไปใช้งานยากให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
โดยผลลัพธ์จะถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบ “รูปภาพ” หรือ “แผนที่” เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการใช้เทคโนโลยี GIS นั้นไม่ใช่เพียงการระบุตำแหน่ง และ Visualization เท่านั้น แต่ยังสามารถทำ การวิเคราะห์(Analysis) เพื่อใช้ในการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ตัวช่วย แก้ปัญหารอบด้าน
ธนพรบอกว่า เทคโนโลยี GIS ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าในการสร้างมิติมุมมองที่แตกต่างและยกระดับการวิเคราะห์สู่ Location intelligence ที่เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจ หรือการคาดการณ์สิ่งที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
“จีไอเอสช่วยให้องค์กรสามารถแก้ปัญหาได้รอบด้าน เข้าใจทุกแง่มุมของสิ่งที่เกิดขึ้น และมองเห็นภาพรวมได้อย่างชัดเจนซึ่งนำไปสู่การบริหารจัดการธุรกิจให้ครอบคลุมมิติ”
เทคโนโลยี GIS สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกทำเลที่ตั้งของสาขาที่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูงสุด หรือจะเป็นการใช้ GIS ในการสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆ เช่น สมาร์ทซิตี้ ภัยพิบัติหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน
รวมไปถึงด้านสาธารณสุข เกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม และธุรกิจต่าง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยี GIS ถูกพัฒนาให้ทำงานร่วมกับนวัตกรรมต่างๆ ของโลก เพื่อเพิ่มความสามารถและยกระดับการทำงานให้ก้าวไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลทวิน, บิ๊กดาต้า, ไอโอที, GeoAI, ดีปเลิร์นนิง, วิทยาศาสตร์ข้อมูลและแมชีนเลิร์นนิง ฯลฯ
เครื่องมือเพิ่มความสามารถการแข่งขัน
สำหรับความสำคัญในการสร้างภาพอนาคตผ่านเทคโนโลยี จำเป็นต้องเริ่มจากการนำข้อมูลรอบตัวมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจอนาคตอย่างเป็นระบบและครบทุกมิติ เช่น สังคม การเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อม การมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่สามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ
ทั้งนี้ เพื่อจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาสาเหตุและวิธีป้องกัน ทำให้เข้าใจอนาคตได้ชัดขึ้น โดยเทคโนโลยี GIS จะช่วยทำให้เข้าใจการเปลี่ยน แปลงเชิงพื้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ได้นำข้อมูลมาทำเพียงแค่เป็นแบบจำลองเท่านั้น แต่ยังต้องมีการตีความต่อว่า สิ่งที่ออกมานั้นจะส่งผลต่อวิถีชีวิตหรือต่อระบบอื่นๆ อย่างไร เพื่อช่วยรับมือและป้องกันความเสียหายก่อนจะเกิดขึ้น
การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา FutureTales Lab by MQDC กล่าวว่า เทคโนโลยีจีไอเอสนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างเป็นระบบ ทำให้เมืองมีความเป็น Resilience หรือมีความสามารถในการฟื้นคืนสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว หากต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต
โดยแนวโน้มเทรนด์จากนี้พบว่าเทคโนโลยี GIS จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการดำเนินกิจการเพื่อก้าวสู่ความได้เปรียบในการแข่งขัน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำเทคโนโลยีพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยนี้ พัฒนาและดูแลโลกของเราให้ยั่งยืนต่อไป