เอ็นทีที เปิด 4 แนวโน้ม 'เครือข่ายสื่อสารอัจฉริยะ' หนุนธุรกิจโต ‘ก้าวกระโดด’
4 แนวโน้มหลัก ที่ผลักดันให้องค์กรเร่งยกระดับความทันสมัยของเครือข่ายสื่อสารข้อมูล คือ 1.การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ 2.แพลตฟอร์มคลาวด์เนทีฟ 3.การใช้ 5จี ส่วนตัว หรือไพรเวท 5จี และ 5. การทำงานไฮบริด
"มีธุรกิจเพียง 2 ใน 5 เท่านั้น ที่มองว่า มีความพอใจสูงกับขีดความสามารถเน็ตเวิร์คที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน สถิตินี้สะท้อนถึงการเกิดขึ้นของศักราชใหม่แห่งการปรับเครือข่ายให้ทันสมัย โดยผู้บริหารมากกว่า 90% เชื่อว่า มีผลอย่างมากต่อการส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโต และการสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AIOps ที่มีสัดส่วนมากกว่า 91%"
“อามิต ธิงรา” รองประธานบริหารฝ่ายบริการเครือข่าย บริษัทเอ็นทีที เผยข้อมูลสำคัญ ซึ่งเป็นความเห็นของบรรดามืออาชีพบริหารงานบิ๊กคอร์ปทั่วโลก ส่วนหนึ่งของรายงานอุตสาหกรรมเครือข่ายระดับโลกปี 2565 (2022 Global Network Report)
ผลสำรวจของเอ็นทีทีชิ้นนี้ ระบุว่า 70% ของซีอีโอทั่วโลกยอมรับว่าระดับความสมบูรณ์ของเครือข่ายหรือ network maturity ขององค์กรตัวเองมีผลกระทบด้านลบต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ องค์กร 72% ในกลุ่มธุรกิจระดับ Top ที่ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ได้ตัดสินใจว่าจ้างหรือเอาท์ซอร์สงานด้านโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายออกไปแล้วเกินครึ่งหนึ่ง
ขณะที่ 4 แนวโน้มหลักที่ผลักดันให้องค์กรหันมายกระดับความทันสมัยของเครือข่ายสื่อสารข้อมูล ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ แพลตฟอร์มคลาวด์เนทีฟ การใช้ 5จี ส่วนตัว หรือไพรเวท 5จี และการทำงานไฮบริด
ความสำคัญของเครือข่ายอัจฉริยะ
รายงานนี้ บอกด้วยว่า ซีอีโอกว่า 70% เชื่อว่าระดับความสมบูรณ์ของเน็ตเวิร์ค ที่ใช้อยู่นั้นส่งผลกระทบในทางลบต่อการส่งมอบทางธุรกิจ หรือ business delivery โดยมองว่าภาวะที่สภาพแวดล้อมการทำงานถูกปรับเป็นแบบไฮบริด และกระจายตัวบนอุปกรณ์ซึ่งต้องเชื่อมต่อกันหลายเครื่องนั้น กำลังขยายตัวจนครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร แม้จะพยายามทุ่มเงินลงทุนไปแล้ว
ขณะที่ การรักษาความปลอดภัยเครือข่าย กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมเครือข่ายในปัจจุบัน เนื่องจากรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดที่กระจายศูนย์ มีโอกาสถูกผู้ไม่ประสงค์ดีโจมตีมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้เป็นแรงผลักดันให้องค์กรต่างๆ เริ่มปรับรูปแบบการทำงานให้รวมศูนย์มากขึ้น พร้อมกับเปลี่ยนไปใช้โซลูชั่นรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ รวมถึงเปิดใช้บริการจัดการระบบรักษาความปลอดภัยที่ปลายทาง หรือ managed endpoint security model
ตลอดจนตัดสินใจเพิ่มการลงทุนให้เครือข่ายมีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มข้นขึ้น โดยผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าภัยคุกคามใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นั้นจะเป็นแรงดันให้องค์กรต้องการเครือข่ายที่มีความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้ต้องมีการควบคุมและการตรวจสอบการเข้าถึงเน็ตเวิร์กในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น หรือ 93%
ยกระดับเน็ตเวิร์กสู่รูปแบบบริการ
เอ็นทีที ระบุว่า การรักษาความปลอดภัยเครือข่าย กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมเครือข่ายปัจจุบัน เนื่องจากรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดที่กระจายศูนย์ มีโอกาสถูกผู้ไม่ประสงค์ดีโจมตีมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้ เป็นแรงผลักดันให้องค์กรต่างๆ เริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานไปใช้โซลูชันการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ที่รวมศูนย์มากขึ้น ควบคู่ไปกับบริการจัดการระบบรักษาความปลอดภัยที่ปลายทาง หรือ managed endpoint security
ตลอดจนตัดสินใจเพิ่มการลงทุนให้เครือข่ายมีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มข้นขึ้น โดยผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าภัยคุกคามใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นั้นจะเป็นแรงผลักดันให้องค์กรต้องการเครือข่ายที่มีความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้ต้องมีการควบคุมและการตรวจสอบการเข้าถึงเน็ตเวิร์กในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น
รายงานล่าสุด พบว่า หากไม่คำนึงถึงต้นทุน กลุ่มตัวอย่างจะมองข้อกังวลสูงสุดที่ความปลอดภัย ความทันสมัย และการเข้าถึงบริการได้เต็มรูปแบบจากผู้ให้บริการ โดยหากพิจารณาในแง่ของการจัดการเครือข่าย พบว่าผู้บริหารระดับสูงมากกว่า 90% ตัดสินใจเลือกเครือข่ายที่อยู่ในรูปแบบบริการ เนื่องจากมีข้อได้เปรียบมากเรื่องความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่มหรือลดขนาด
“ระดับของการลงทุนในเครือข่ายได้ขยับตัวสูงขึ้น พร้อมกับผลการวิจัยนี้ที่แสดงให้เห็นว่า หลายองค์กรต่างหันไปหาพันธมิตรและโซลูชั่นบริการแมเนจเซอร์วิส เพื่อให้ได้บริการตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ โดยมีจุดประสงค์หลักในการเพิ่มความปลอดภัยและเข้าถึงทักษะที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กรได้ ทั้งในแง่ความสามารถและการเร่งพัฒนานวัตกรรม”
อามิต บอกว่า แม้ทุกคนจะกำลังอยู่ท่ามกลางยุคแห่งความทันสมัยของบริการเครือข่าย แต่โซลูชั่นจำนวนมากที่ยังไม่ถูกใช้งานแพร่หลาย อาจกลายเป็นมาตรฐานขึ้นมาภายในเวลาเพียง 2 ปีก็ได้ ดังนั้น องค์กรจึงควรหันมาพัฒนาเครือข่ายในรูปแบบบริการแทน โดยหากต้องเลือกผู้ให้บริการเครือข่ายสักราย
จับตา 5จี ควอนตัมปลุกเครือข่ายอนาคต
เอ็นทีที แนะธุรกิจว่า ควรพิจารณาถึงความปลอดภัย ทักษะความสามารถ ความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่มหรือลดขนาด การรองรับไพรเวท 5จี และการมีเครือข่ายที่จัดการได้ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งในระยะยาว เทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน เอไอ และระบบอัตโนมัติอื่น เทคโนโลยีเออาร์ และวีอาร์ เครือข่ายควอนตัม เทคโนโลยี 6G และการประมวลผลแบบโฟโตนิก (photonic computing) ล้วนมีผลต่อการทำงานของเครือข่ายในอนาคต
คริส บาร์นาร์ด รองประธานบริษัทไอดีซี ให้ความเห็นว่า การทำงานวิถีใหม่ได้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ทำให้องค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงตระหนักถึงคุณค่าของการลงทุนในเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ เช่น เครือข่ายหลักขององค์กร เทคโนโลยี 5จี , เอดจ์ (edge) และปัญญาประดิษฐ์ ดังนั้นองค์กรต่างๆ จึงมุ่งปรับปรุงเครือข่ายองค์กรของตนให้ทันสมัย ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานและจัดการเครือข่ายที่สนับสนุนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น รองรับความต้องการจากบริการและแอปพลิเคชันดิจิทัลเกิดใหม่ได้ดีขึ้น