Facebook กำลังจะหมด ความนิยมไปจริงหรือ ?
มีบางคนบอกว่าโซเชียลมีเดียบางแพลตฟอร์มที่ผมเล่นอยู่กำลังกลายเป็น “บ้านพักคนชรา” หรือมีบางคนบอกว่า Facebook กำลังจะหมดยุคและคนจะเลิกเล่นกันแล้ว
ผมเริ่มเล่นโซเชียลมีเดียมาสิบกว่าปี โดยมีแพลตฟอร์มหลักๆ คือ Facebook ส่วนแพลตฟอร์มอื่นที่เล่นก็มีเพียง Twitter, Line และ LinkedIn บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูง โพสต์ข้อมูลต่างๆ หรือบางครั้งก็ใช้ในการติดตามข่าวสาร แต่โซเชียลมีเดียตัวใหม่ๆ อย่าง TikTok หรือ Instagram ผมแทบไม่ได้เล่น ที่มีเล่นบ่อยก็คือ Discord ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับเด็กรุ่นใหม่ในที่ทำงาน
ระยะหลังมานี้ผมเริ่มรู้สึกว่า เพื่อนในโซเชียลมีเดียบางแพลตฟอร์มเดิมๆ เริ่มเข้ามาเล่นน้อยลง โดยเฉพาะ Facebook ยิ่งถ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่แทบไม่ค่อยได้เล่น มีบางคนบอกว่าโซเชียลมีเดียบางแพลตฟอร์มที่ผมเล่นอยู่กำลังกลายเป็น “บ้านพักคนชรา” หรือมีบางคนบอกว่า Facebook กำลังจะหมดยุคและคนจะเลิกเล่นกันแล้ว
ผมจึงทำการศึกษาดูรายงานสถิติจำนวนผู้ใช้โซเชียลมีเดียล่าสุดของบริษัทวิจัย Kepios ที่รายงานบนเว็บไซต์ datareportal.com เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พบว่าแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้ทั่วโลกเป็นอันดับหนึ่งก็ยังเป็น Facebook เช่นเดิม โดยมีจำนวนผู้ใช้ 2,934 ล้านราย ตามมาด้วย YouTube มีจำนวน 2,476 ล้านราย Whatsapp มีจำนวน 2,000 ล้านราย และ Instagram มีจำนวน 1,440 ล้านราย ส่วน TikTok อยู่อันดับที่ 6 ด้วยจำนวน 1,023 ล้านราย และ Twitter อยู่อันดับที่ 14 ด้วยจำนวน 486 ล้านราย
ถ้าเราจะแบ่งตามอายุของผู้ใช้จะเห็นได้ชัดเจนว่า คนรุ่นใหม่ในช่วงอายุ 16-24 ปี มักนิยมใช้ Instagram เป็นอันดับแรก คือโดยเฉลี่ย 22%-23% ในขณะที่จะนิยมใช้ Facebook เพียง 7%-10% แต่คนที่มีช่วงอายุระหว่าง 25-34 ปี ถ้าเป็นเพศชายจะนิยมใช้ Facebook มากกว่า แต่ถ้าเป็นเพศหญิงจะสนใจ Instagram มากกว่า โดยทั้งสองแพลตฟอร์มมีความนิยมเฉลี่ยใกล้กันระหว่าง 14%-17%
นอกจากนี้ถ้าเป็นคนอายุ 35 ปี ขึ้นไป ก็พบว่าจะนิยมใช้ Facebook มากกว่าระหว่าง 15%-19% ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ ในขณะที่ Instagram มีความนิยมระหว่าง 5%-12% และที่น่าสนใจคือ ผู้คนทั่วโลกที่อายุ 45 ปี ขึ้นไป จะนิยมใช้แพลตฟอร์ม Whatsapp เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนแพลตฟอร์ม TikTok กลุ่มคนอายุระหว่าง 16-24 ปี จะนิยมใช้มากเป็นอันดับสาม รองจาก Instagram และWhatsapp แพลตฟอร์ม Line เด็กวัยนี้จะนิยมใช้น้อยมากเพียง 0.9%
ความนิยมการใช้ Facebook ของคนรุ่นใหม่ที่ลดลง ก็สอดคล้องกับผลการสำรวจของวัยรุ่นอายุระหว่าง 13-17 ปีในสหรัฐอเมริกาที่พบว่า ในการสำรวจปีล่าสุด TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เด็กใช้เป็นส่วนใหญ่คือ 67% ตามมาด้วย Instagram 65% ส่วน Facebook มีเพียง 32% ถ้าเทียบกับการสำรวจปี 2015 ที่เคยครองอันดับหนึ่งที่ 71%
สำหรับประเทศไทยข้อมูลของบริษัทวิจัย Kepios เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ระบุว่า Facebook ยังเป็นแพลตฟอร์มที่มีความนิยมมากสุดคือ 40.8% ตามด้วย Line และ TikTok ที่ 15.8% และ 15.7% ตามลำดับ ส่วน Instagram อยู่อันดับที่ 4 ที่จำนวน 10.4% แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทก็ไม่ได้แสดงสถิติความนิยมแบ่งตามอายุผู้ใช้
ทางบริษัทวิจัย Kepios ก็ยังยืนยันว่า แม้การใช้ Facebook ของวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศอาจลดลง แต่แนวโน้มการใช้ Facebook ของวัยรุ่นทั่วโลกยังมีจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น
แล้วทำไมคนจึงรู้สึกว่า Facebook กำลังถดถอย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากข่าวที่แสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้ใช้ลดลงมาเป็นครั้งแรกจากจำนวน 2,936 ล้านรายเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ เหลือเป็น 2,934 ล้านรายในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้จำนวนผู้ใช้ที่เข้าถึงการโฆษณาก็ลดลงไปถึง 4.1% ในช่วงเวลาเดียวกัน คือจากจำนวน 2,168 ล้านราย เหลือเพียง 2,079 ล้านราย และที่สำคัญยิ่งคือ รายได้ของบริษัท Meta ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของ Facebook ในไตรมาสที่สามที่ผ่านมา ลดลงจากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้วไป 4% คือจาก 29,010 ล้านดอลลาร์ เหลือ 27,714ล้านดอลลาร์ และกำไรสุทธิลดลงไปถึง 52% คือจาก 9,194 ล้านดอลลาร์ เหลือ 4,395 ล้านดอลลาร์
แต่ทั้งนี้นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งกลับมองว่า การที่จำนวนผู้ใช้ลดลงน่าจะมาจากผลกระทบที่ทางบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาออกมาตรการแซงชั่นรัสเซีย ส่วนเรื่องรายได้ก็น่าจะมาจากปัญหาภาวะทางเศรษฐกิจที่บริษัทด้านเทคโนโลยีต่างๆ กำลังประสบอยู่ ประกอบกับการลงทุนทำโครงการทางด้าน Metaverse ของบริษัท Meta ก็ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร
จากข้อมูลตัวเลขที่แสดงมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า Facebook ยังครองความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มทางด้านโซเชียลมีเดียอยู่ และคงไม่มีทางที่จะหมดความนิยมในเวลาอันใกล้นี้ แม้ในปัจจุบันลูกเล่นบางอย่างอาจดูไม่น่าดึงดูดเท่ากับบางแพลตฟอร์ม และคนรุ่นใหม่บางกลุ่มอาจไม่อยากเข้ามาเล่นมากเหมือนเดิม แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าจะทำการตลาดโฆษณาในโซเชียลมีเดีย เราคงยังต้องให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์ม Facebook เหมือนเช่นเดิม เพราะอย่างไรเสียคนกลุ่มใหญ่ก็ยังใช้แพลตฟอร์มนี้อยู่