ชาร์จเท่าไรก็ไม่เต็ม! ว่าด้วย "การชาร์จแบต" ทำอย่างไรไม่ให้ "แบตเสื่อม"

ชาร์จเท่าไรก็ไม่เต็ม! ว่าด้วย "การชาร์จแบต" ทำอย่างไรไม่ให้ "แบตเสื่อม"

หมดปัญหา "แบตเสื่อม" ก่อนวัยอันควร เผยเคล็ดลับ "การชาร์จแบตที่ถูกวิธี" โดยไม่ให้แบตเสื่อมไว ผ่านการทดลองแล้วว่านำไปใช้ได้จริง

“เติมเท่าไรไม่เคยเต็ม เติมเท่าไรไม่เคยพอ” ช่วงนี้หลายคนคงกำลังรู้สึกเนือยๆ หน่วงๆ หลังจากได้หยุดเทศกาลปีใหม่ แต่การกลับมาเริ่มทำงานปุ๊บกลายเป็นทำให้หมดไฟปั๊บ ทั้งที่ก็เพิ่งจะได้ไปเที่ยว ไปพักผ่อน จนน่าสงสัยว่าสรุปไปชาร์จไฟไม่เต็มหรือพวกเรา แบตเสื่อม กันแน่

อุปกรณ์ไอที ก็เช่นเดียวกัน ตอนซื้อมาใหม่ๆ การชาร์จไฟ ก็รวดเร็วทันใจ พอใช้ไปก็รู้สึกว่าแบตหมดช้าจัง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งการเก็บกักประจุไฟดูเหมือนจะเริ่มเสื่อมถอย เพิ่งชาร์จเต็มแต่แบตทำไมลดไว ใช้ไปแป๊บๆ แบตหมด ถ้าไม่นับความผิดพลาดของซอฟต์แวร์ที่ก่อปัญหาแบตไหล นี่คือ สัญญาณอันตรายของ "แบตเสื่อม"

ถ้าแบตเตอรี่เสื่อมตามอายุขัยก็คงไม่ผิดปกติ แต่ถ้าใช้ได้ไม่ถึงปี แล้วมีอาการดังกล่าว อาจเรียกได้ว่าแบตเสื่อมก่อนวัยอันควร

KT Review กรุงเทพธุรกิจ ขอแนะนำเทคนิคชะลอวัยให้แบตเตอรี่ การันตีด้วยอุปกรณ์ไอทีเกือบทุกชิ้นของผู้เขียนผ่านการใช้งานตามคำแนะนำมาตลอดนับสิบปี ไม่มีชิ้นใดประสบปัญหา "แบตเสื่อม" ก่อนวัยอันควร Battery Health สมบูรณ์แข็งแรงกันถ้วนหน้า เพราะฉะนั้นทำตามได้เลย

1.ใช้สายชาร์จ และอะแดปเตอร์ของแท้

เป็นขั้นตอนที่น่าจะง่ายที่สุดสำหรับคนที่อุปกรณ์ชาร์จไฟอย่างสายชาร์จ และอะแดปเตอร์ของเดิมยังอยู่ดี เพราะอุปกรณ์ชาร์จไฟที่ดีที่สุดของอุปกรณ์ไอทีก็คือ ของแท้แบรนด์เดียวกัน เหตุผลคือ ของแท้ และตรงรุ่นจะทำมาให้ตรงกับกำลังไฟที่เหมาะสมกับอุปกรณ์นั้นๆ รวมถึงมีฟังก์ชันต่างๆ ที่มีเฉพาะในของแท้ และของที่มีคุณภาพมาตรฐาน เช่น ระบบตัดไฟเมื่อแบตเต็ม เป็นต้น

แล้วถ้าหาไม่ได้ หรือไม่มีงบซื้อของแท้ตรงรุ่น การเลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟก็ควรเป็นของที่มีมาตรฐาน ได้รับการรับรอง เพราะนั่นหมายถึงทั้งความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และมีผลกระทบต่อสุขภาพแบตเตอรี่น้อยที่สุด

2.ชาร์จแบตให้เต็มก่อนใช้งาน

ถ้าเป็นคนก็คงหมายถึง การพักผ่อนให้เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาก็จะสดชื่น พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ส่วนคำว่าชาร์จแบตให้เต็มของอุปกรณ์ไอที หมายถึงการชาร์จให้เต็มจริงๆ ไม่ชาร์จนิดหน่อยแล้วนำไปใช้ หรือเพิ่งใช้ปุ๊บแล้วรีบชาร์จปั๊บ เพราะจะทำให้การกักเก็บประจุในแบตเตอรี่ไม่สมบูรณ์

แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องรีบใช้ เรามีตัวเลขเปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่ที่แนะนำว่าถ้าเกินกว่านี้อย่าหยิบเอาไปใช้ คือ 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะนั่นคือ ช่วงที่แบตเตอรี่กำลังค่อยๆ ชาร์จ เป็น Golden Time ที่ควรจะให้แบตเตอรี่ได้ชาร์จไปจนเต็ม แต่ถ้าชาร์จมายังไม่ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ก็พออะลุ้มอล่วยได้

3.อย่ารอให้แบตหมดหรือต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์

การที่เราใช้อุปกรณ์เพลิน ไม่ว่าจะสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อป หรือสมาร์ทวอทช์ จนปล่อยให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ ให้พึงระลึกเสมอว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์นั้น คือ การวางยาพิษให้แบตเตอรี่ตายอย่างช้าๆ

เพราะเมื่อแบตเตอรี่หมด การชาร์จไฟใหม่จะเร่งให้แบตเตอรี่เติมประจุไฟฟ้าเข้าไป ช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้แบตมีความร้อนมาก ซึ่งความร้อนมากๆ จะบั่นทอนสุขภาพแบตเตอรี่โดยตรง หากเป็นบ่อยๆ ก็มีโอกาสที่แบตเตอรี่จะเสื่อมไวขึ้น

อันที่จริง ไม่ต้องเลวร้ายขนาดแบตหมดเกลี้ยง แต่เปอร์เซ็นต์ที่ควรจะต้องชาร์จแล้วคือ แบตเหลือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขที่ไม่ควรให้ต่ำกว่านี้ที่จะเติมพลังให้แบตกลับมาเต็มอีกครั้ง ในสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ไอทีอื่นๆ ก็มีฟังก์ชันแจ้งเตือนให้ชาร์จเมื่อแบตเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ และจะแจ้งเตือนให้เห็นถึงภาวะวิกฤติเมื่อแบตเหลือราว 10 เปอร์เซ็นต์ด้วย

ทว่ามีบางตำราระบุว่าเปอร์เซ็นต์ที่ควรชาร์จไฟได้แล้วจะอยู่ที่ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าใครสะดวกที่จะชาร์จตามนี้ก็จัดเลย ดีต่อแบตเตอรี่แน่นอน

4.ชาร์จไฟแบบ One Night Stand ได้

ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการชาร์จแบตที่สุดคือ ช่วงเข้านอน เพราะเราจะได้หยุดใช้อุปกรณ์นั้นแล้วปล่อยให้แบตเตอรี่ได้ชาร์จแบบรวดเดียวเต็ม

แต่ก็มีบางคนสงสัยว่าการชาร์จแบตข้ามคืนจะมีผลเสียต่อแบตหรือไม่ ในอุปกรณ์ไอทียุคใหม่มีฟังก์ชันตัดไฟ และช่วยถนอมแบตเตอรี่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นชาร์จไฟข้ามคืนนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้

5.ไม่ชาร์จไป ใช้ไป

นี่คือข้อห้าม! เพราะการชาร์จไฟไปแล้วใช้ไป ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ เนื่องจากมีการอัดไฟเพิ่มขึ้นตลอดเวลาจนเกิดความร้อนมาก ทั้งประจุไฟฟ้าที่ไหลเข้าอย่างรวดเร็ว และความร้อนคือ สาเหตุสำคัญของแบตเสื่อม และมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงอย่างแบตระเบิดได้เลยทีเดียว

วิธีที่ดีที่สุดคือ ชาร์จให้เต็มแล้วถอดปลั๊ก นำไปใช้ตามปกติ พอแบตลดจนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ค่อยนำไปชาร์จใหม่ ยกตัวอย่าง Macbook Air ที่ผู้เขียนใช้อยู่ในปัจจุบัน หรือแล็ปท็อปเกมมิ่งจากค่าย Acer ที่เคยเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ใช้มานานนับสิบปีด้วยวิธีการนี้ สุขภาพแบตเตอรี่ก็ยังดีมาก

6.iPhone ตั้งค่าการชาร์จถนอมแบตเตอรี่ได้

ในสมาร์ทโฟนค่ายอื่นอาจจะมีหรือไม่มี แต่สำหรับ iPhone มีฟีเจอร์การชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่มาตั้งแต่ iOS 13 เป็นต้นมา โดยไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่ > สุขภาพแบตเตอรี่ และการชาร์จ > เลือกเปิด การชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่

ฟีเจอร์นี้ทำงานโดยให้ iPhone ชาร์จช่วง 0-80 เปอร์เซ็นต์ จะชาร์จไวมาก หลังจากนั้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือระบบจะคำนวณจากพฤติกรรมการชาร์จแบตว่าเราใช้เวลาชาร์จแบตนานแค่ไหนจนกว่าจะถอดสายชาร์จออก เพื่อยืดหรือร่นระยะเวลาการชาร์จส่วนที่เหลือให้เหมาะสม เพียงเท่านี้ก็จะช่วยดูแลสุขภาพแบตของ iPhone ได้ในขณะชาร์จแล้ว

7.ไม่ต้องชาร์จหลายชั่วโมงในการชาร์จครั้งแรก

ความเชื่อเก่าที่ว่า การชาร์จมือถือก็ดี ชาร์จแบตอื่นๆ ก็ดี ในครั้งแรกต้องชาร์จ 8 ชั่วโมงบ้างละ 12 ชั่วโมงบ้างละ ณ ปัจจุบันที่แบตเตอรี่เป็นแบบ Li-ion และ Li-Polymer กันหมดแล้ว มีการชาร์จแบบนับจำนวนรอบ (Cycle) จึงไม่จำเป็นต้องนับครั้งแบบแบตเตอรี่ Ni-Cad ที่นับเป็นจำนวนครั้ง

ที่สำคัญ แบตเตอรี่ปัจจุบันไม่มีทางที่จะชาร์จได้เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการชาร์จเป็นระยะเวลานานมากๆ ไม่มีผลใดๆ เพราะสุดท้ายเมื่อแบตเต็มระบบก็จะตัดไฟที่เข้ามาอยู่ดี

8.เสียบอะแดปเตอร์ก่อนเสียบที่อุปกรณ์ไอที

ข้อนี้เป็นทริคเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยถนอมแบตเตอรี่ของเรา ด้วยการเสียบหัวชาร์จหรืออะแดปเตอร์เข้ากับปลั๊กก่อน แล้วค่อยนำสายชาร์จมาเสียบที่อุปกรณ์ไอที เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากไฟกระชาก