ปลดล็อกธุรกิจสู่ 'อนาคตดิจิทัล' ด้วยกลยุทธ์แบบ 'NTT DATA'

การจะสร้างสิ่งใหม่ๆ และเป็นเลิศในเวทีโลก คุณต้องมีกลยุทธ์ระดับโลกที่มีความแม่นยำสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ "NTT Group" (เอ็นทีที กรุ๊ป) กลุ่มบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ผนึกธุรกิจในต่างประเทศของตนเข้าด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึง NTT Ltd. (เอ็นทีที ลิมิเต็ด) ภายใต้ชื่อ "NTT DATA" เมื่อปีที่แล้ว

ปัจจุบัน ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 190,000 คน ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก รวมถึง 14 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก NTT DATA ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่นี้ จะนำเสนอโซลูชันด้านธุรกิจและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และบริการให้คำปรึกษาครอบคลุมทั้งด้านแอปพลิเคชัน การดำเนินงาน และโครงสร้างพื้นฐาน

การผนึกโซลูชันระดับโลกเข้ากับความเชี่ยวชาญและความสามารถด้านเทคโนโลยีของพนักงานในแต่ละตลาด ทำให้ NTT DATA ช่วยปฏิวัติอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่างๆ ไปในทางที่ดี ไล่ตั้งแต่บริการเฮลท์แคร์และบริการทางการเงิน ไปจนถึงภาครัฐและการศึกษา

ธุรกิจของทาง NTT DATA ให้ความสำคัญกับระบบประมวลผลคลาวด์ เครือข่ายข้อมูล โซลูชันด้านเทคโนโลยี ศูนย์ข้อมูล และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อทำให้อนาคตแห่งโลกดิจิทัลสำหรับลูกค้า "เป็นจริงได้" ด้วยการสนับสนุนจากเครือข่ายดิจิทัลอันกว้างใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลอันล้ำสมัยจากทั่วโลก

ขณะเดียวกัน การปรับโฉมองค์กรใหม่นี้ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ครอบคลุมโดยปราศจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ และทีมงานที่มาจากหลายประเทศของ NTT DATA ยังสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายซึ่งมาจากชุมชนต่างๆ ทั่วโลก

สร้างสิ่งใหม่ตลอดเวลา

ลูกค้าของ NTT DATA จำเป็นต้องมี "พาร์ตเนอร์" ที่สามารถช่วยสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีถือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดวิธีการทำงานและการคิดแบบใหม่ๆ แต่ในขณะที่นวัตกรรมก้าวหน้าไปพร้อมกับเทคโนโลยีและการวิจัย การค้นพบครั้งใหญ่อย่างแท้จริงของวงการเทคโนโลยีนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากความร่วมมือระหว่างกัน

ในทุกๆ ปี NTT DATA ได้ลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา 3,600 ล้านดอลลาร์ และทำงานใกล้ชิดกับบรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นแนวหน้าที่สุดของโลก ซึ่งรวมถึง Cisco, Microsoft, SAP, Amazon Web Services, Google Cloud และ Salesforce ไปจนถึงหาโซลูชันต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อรับมือความท้าทายอันซับซ้อนในอนาคต

นอกจากนี้ นวัตกรรมก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุและผล NTT DATA อาศัยจุดแข็งจากการที่บริการด้านไอทีและการเชื่อมต่อต่างๆ รวมเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น ในการเชื่อมโยงผู้คนและสิ่งต่างๆ รวมถึงบริหารจัดการแอปพลิเคชัน ข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานของลูกค้า เพื่อช่วยให้ลูกค้าประหยัดต้นทุนและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น NTT DATA ช่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่เชิงรุกเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้กับพลเมืองของตน ด้วยการนำ ปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีน เลิร์นนิง (การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยใช้ข้อมูล) รวมเข้ากับอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (IoT) และเทคโนโลยีประมวลผลอันล้ำหน้าในเมืองอัจฉริยะหลายแห่ง

ความล้ำสมัย มาพร้อมความยั่งยืน

พันธกิจอันแน่วแน่ของ NTT DATA ที่มีต่อเรื่องนวัตกรรมยังขยายไปถึงเป้าหมายด้านความยั่งยืนด้วยเช่นกัน โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ (net-zero) จากการดำเนินงานในทุกธุรกิจของตนภายในปี 2573 และจากห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดขององค์กรภายในปี 2583 ซึ่งในปัจจุบัน NTT DATA เป็นผู้นำในด้านการจัดการคาร์บอนอยู่แล้ว ตามรายงานการประเมินทั่วโลกของ EcoVadis

การปรับเปลี่ยนโฉมสำนักงานอาพีเรียของ NTT DATA สาขาสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนของบริษัท โดยที่ผ่านมา NTT DATA ได้เริ่มต้นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์บูรณาการออฟฟิศในระยะยาว เพื่อให้พนักงานกว่า 2,000 คนในสิงคโปร์จากสำนักงานย่อย 10 แห่ง และหน่วยธุรกิจ 6 หน่วย มาทำงานร่วมกัน

ในโปรเจกต์นี้ ความยั่งยืนถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญเช่นเดียวกับปัจจัยอื่นๆ อย่างประสบการณ์ของทางพนักงานและการประหยัดต้นทุน ซึ่งก่อนหน้านี้ NTT DATA ได้นำเทคโนโลยีออฟฟิศอัจฉริยะ (ในการมอนิเตอร์การใช้ทรัพยากรต่างๆ การจองห้องประชุม และอื่นๆ) เพื่อสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้กับพนักงาน ซึ่งจะนำไปสู่ประสิทธิผลการทำงาน ตลอดจนถึงการย้ายข้อมูลสู่ระบบคลาวด์ การใช้บริการรับฝากเซิร์ฟเวอร์เอาไว้ในศูนย์ข้อมูลที่ช่วยรักษ์โลก และการลดการใช้งานฮาร์ดแวร์ของบริษัท

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดด้านความยั่งยืนของ NTT DATA ไม่ใช่เฉพาะการดำเนินงานของบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนกลุ่มลูกค้าผ่านบริการเทคโนโลยีสีเขียวและบริการความยั่งยืนด้านดิจิทัล ให้สามารถไปสู่เป้าหมาย net-zero ได้อีกด้วย

นอกจากนั้น จากการที่ NTT DATA มีความเชี่ยวชาญด้านการค้นหาโซลูชันด้านดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในการส่งเสริมให้เกิดอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น บริษัทฯ จึงได้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของทางอุตสาหกรรม ทั้งในหมวดสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และเศรษฐกิจ ในรายงานประเมินผลงานบริษัทด้านความยั่งยืนของ S&P Global ESG Scores