มองสถานะ AI ประเทศไทย ผ่านเลนส์บิ๊กซอฟต์แวร์โลก

มองสถานะ AI ประเทศไทย ผ่านเลนส์บิ๊กซอฟต์แวร์โลก

การดึงพลัง “AI” มาช่วยขับเคลื่อนองค์กร และสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับทุกองค์กร แน่นอนว่านอกจากความสำเร็จที่คาดหวัง อีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กัน ยังต้องคำนึงถึงเรื่องของการกำกับดูแล และ “จริยธรรม”

KEY

POINTS

  • ประเทศไทย นับว่ามีความพยายามที่ชัดเจนในการพิจารณาก่อนที่จะออกกฎระเบียบควบคุม
  • ข้อมูลไม่เพียงเป็นรากฐานของการพัฒนา AI เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลด้วย 
  • สนับสนุนแนวทางพัฒนากฎระเบียบตาม Risk-Based Frameworks

เอริค เอช โลบ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกิจการภาครัฐโลกของ เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (AI CRM) รายใหญ่ของโลก เปิดมุมมองต่อแนวทางการกำกับดูแล และกฎระเบียบด้าน AI ของประเทศไทยว่า ได้เห็นผู้กำหนดนโยบายร่วมมือกันทั้งในระดับโลกและภูมิภาคเพื่อสร้างกรอบการทำงานสำหรับเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

สำหรับประเทศไทย นับว่ามีความพยายามที่ชัดเจนมากในการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าได้เข้าใจตัวเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ก่อนที่จะออกกฎระเบียบควบคุม 

นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายของประเทศไทยมีการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มาโดยตลอด เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีก่อนที่จะพัฒนาออกกฎควบคุม

“นี่คือกลไกที่ทำให้เราเห็นรากฐานของการวางกรอบนโยบายที่พิจารณาถึงแนวทางความสมัครใจต่างๆ อย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจออกกฎระเบียบควบคุมที่เข้มงวด”

ประเทศไทย ยังไม่ตกขบวน

เซลส์ฟอร์ซมองว่า มีโอกาสเชิงบวกจำนวนมากที่อาจเกิดขึ้นในการกำกับดูแล แต่อย่างไรก็ดี AI ต้องการความเข้าใจในความซับซ้อนละรายละเอียดต่างๆ

ดังนั้น จึงควรสนับสนุนแนวทางพัฒนากฎระเบียบตามแนวทาง “Risk-Based Frameworks” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างมากในประเทศไทยว่าควรมีการแยกกฎระเบียบสำหรับความเสี่ยงระดับต่างๆ จากระดับสูงสุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของบุคคล หรือศักยภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต ออกจากระดับความเสี่ยงสูงมาก นั่นก็คือกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

“สำคัญมากที่กรอบแนวทางนโยบายมีความเหมาะสมกับลักษณะที่หลากหลาย และแยกกำหนดภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ และความคาดหวังสำหรับกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้สำหรับนวัตกรรม การแข่งขัน และการทดลองสำหรับบริบทที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า”

บริษัทรู้สึกชื่นชมประเทศไทยถึงการรับรู้ถึงระดับความเสี่ยงที่หลากหลายรวมถึงมีผู้เกี่ยวข้องในระบบนิเวศของ AI ที่หลากหลาย ซึ่งมีทั้งบทบาทและความรับผิดชอบที่แตกต่างกันไป

โดยหลักการพื้นฐานซึ่งพิจารณาจากระดับความเสี่ยง บทบาท และความรับผิดชอบ ที่แตกต่างกันไปนี้เป็นรากฐานที่สำคัญมากสำหรับกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ท้าทายการจัดการ ‘ข้อมูล’

ส่วนของ ความท้าทายในการพัฒนา AI และมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลของประเทศไทย เอริค กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลนั้นสร้างขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูล

ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของข้อมูล ความมั่นใจในการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นรากฐานของการพัฒนา AI เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลด้วย 

อย่างไรก็ตาม ได้เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจประการหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมา คือการที่ผู้กำหนดนโยบายเริ่มตระหนักว่ายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับ AI

นอกจากนี้ เกิดความร่วมมือระหว่างผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่าง ๆ ซึ่งทำงานร่วมกันทั้งในระดับองค์การสหประชาชาติผ่านหน่วยที่ปรึกษาระดับสูงด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือในระดับการประชุม G20, G7, OECD และการประชุมผู้นำด้านความปลอดภัย AI ของสหราชอาณาจักร ซึ่งมีทิศทางของความร่วมมือและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น การพัฒนากฎหมายด้าน AI ของสหภาพยุโรปหรือ EU AI Act ได้สร้างแนวคิดที่สำคัญมากสำหรับกรอบแนวทางปฏิบัติที่พิจารณาจากระดับความเสี่ยง และเน้นการปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆ

เช่น การปกป้องความเป็นส่วนบุคคล และการตระหนักว่าผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI มีบทบาทและความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน และมีความจำเป็นที่จะต้องแยกแยะความแตกต่าง สิ่งเหล่านี้เป็นแนวคิดที่สำคัญมากในการพัฒนากฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป

ขณะที่สหรัฐได้เลือกที่จะพัฒนาชุดข้อตกลงตามความสมัครใจซึ่งเป็นเสมือนการแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะสร้างมาตรการที่รักษาความปลอดภัยในด้านนี้ขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เราเห็นผู้กำหนดนโยบายเรียนรู้จากกันและกัน ร่วมพัฒนาสร้างองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ และค้นหาว่ากรอบการกำกับดูแลที่ยั่งยืนควรมีรูปแบบอย่างไร ประเทศไทยเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระดับโลกที่สำคัญนี้เช่นกัน”