ไทยคมชู 'CarbonWatch' รายแรกในอาเซียน ปั้นธุรกิจนิว สเปซ หวังทำเงินในอนาคต

“ปฐมภพ” เดินเกมไทยคม ชูวิสัยทัศน์เปลี่ยนผู้นำดาวเทียม สู่ ผู้นำสเปซเทค ประเดิมความสำเร็จแพลตฟอร์ม ‘CarbonWatch’ เครื่องมือประเมินคาร์บอนเครดิต ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม และ AI รายแรกในอาเซียน
นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไทยคม เปลี่ยนวิสัยทัศน์ จากผู้นำด้านดาวเทียม สู่ ผู้นำ นิว สเปซ เทค เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจนี้จะเป็นธุรกิจที่สำคัญและตอบโจทย์ ESG ล่าสุดไทยคมประสบความสำเร็จในการพัฒนา แพลตฟอร์ม CarbonWatch เครื่องมือในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในป่าไม้ ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม และ AI โดยได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) รายแรกในประเทศไทย
โดยดำเนินการภายใต้โครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) โดยได้จับมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission)
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มดังกล่าว ช่วยทำให้การประเมินคาร์บอนเครดิต แม่นยำ รวดเร็ว ตรวจสอบได้ และคุ้มค่ากว่าวิธีดั้งเดิม ที่ต้องใช้คนเดินเข้าไปจดค่าคาร์บอนเครดิตในป่า โดยเราคิดค่าบริการอยู่ที่ 100-300 บาทต่อไร่ ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีพื้นที่ป่าชุมชนกว่า 290,000 ไร่ โดยลูกค้าหลักของเรามีทั้งหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการเก็บข้อมูลคาร์บอนเครดิต และ บริษัทเอกชนที่มีการตื่นตัวเรื่อง Net Zero รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่มีผืนป่าจำนวนมาก
นายปฐมภพ บอกว่า ไทยคมเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับดาวเทียมมาตลอด 30 ปี มีทั้งองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญในกิจการอวกาศ แนวทางการทำตลาด การหาพันธมิตรทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ดังนั้น ภาพของอนาคตตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น ไทยคมต้องการขยายสโคปธุรกิจของตัวเอง จากเป็นผู้ให้ดำเนินธุรกิจดาวเทียมไปสู่การเป็น สเปซ เทค คัมปานี ภายใน 5 ปีต่อจากนี้
โดยจะมุ่ง 3 ธุรกิจใหม่มาเสริมกับธุรกิจดาวเทียมหลักที่ให้บริการ
3 ธุรกิจใหม่ ประกอบด้วย
1.บริการ Software defined Satellite ดาวเทียมที่สามารถควบคุมการทำงานได้เรียลไทม์จากภาคพื้นดิน เปลี่ยนองศาความครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ (footprint) เพื่อให้เกิดการใช้งานได้อย่างประสิทธิภาพ
2.รุกธุรกิจดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO หรือ Low Earth Orbit) เป็นดาวเทียมที่โคจรอยู่บนความสูงจากพื้นโลกระหว่าง 350 - 2,000 กิโลเมตร เมื่อต้นปีที่ผ่านมาไทยคม ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับบริษัท โกลบอลสตาร์ (Globalstar, Inc.) จาก สหรัฐอเมริกา ร่วมกันพัฒนา และบริหารจัดการสถานีภาคพื้นดินไทยคมในพื้นที่ลาดหลุมแก้ว
3.ธุรกิจนิว สเปซ อีโคโนมี เป็นธุรกิจที่มุ่งหาประโยชน์จากการใช้งานดาวเทียมในอวกาศ เช่น การประมวลผลภาพถ่ายจากดาวเทียม วิเคราะห์ข้อมูลดาต้า อนาไลติกส์จากโดยเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งใน โครงการ CarbonWatch จะอยู่ในส่วนนี้
"ทั้ง 3 ธุรกิจใหม่ที่เป็นนิว สเปซ เทค ปัจจุบันรายได้ยังไม่มีนัยยะสำคัญให้แก่บริษัทที่สร้างได้ราว 1-2% เท่านั้น แต่ใน 3 ปี เชื่อว่าจะเพิ่มไปถึง 20% ของรายได้รวมและจะเป็นอนาคตให้กับไทยคมเพราะตลาดนี้มีมูลค่ามหาศาล"
สำหรับภาพรวมของไทยคมครึ่งปีหลัง นายปฐมภพ กล่าวว่า ไทยคมยังอยู่ระหว่างการสร้างดาวเทียมดวงใหม่ 3 ดวง เป็นดาวเทียมเล็ก 2 ดวง (ไทยคม 9 และ ไทยคม 9A) และดาวเทียมดวงใหญ่ (ไทยคม 10) ที่เป็นไปตามแผน ระหว่างนี้บริษัทหาลูกค้าดาวเทียมดวงใหม่
โดยสามารถให้ลูกค้าใหม่เข้ามาใช้งานดาวเทียมไอพีสตาร์ (ไทยคม 4) ไปก่อนจะโอนย้ายไปดาวเทียมดวงใหม่ โดยดาวเทียมไทยคม 9 ,9A จะยิงขึ้นสู่วงโคจรในปี 2568 และดาวเทียมไทยคม 10 ยิงในปี 2570 ทั้งนี้ ตลาดหลักเป็นไทย อินเดีย และยังมีประเทศในเอเชียแปซิฟิก และ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นลูกค้าเดิม
ด้านม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ริเริ่ม “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ในพื้นที่ป่าชุมชนกว่า 290,000 ไร่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน และมีแผนที่จะขยายพื้นที่ไปยังป่าชุมชนทั่วประเทศไทย เทคโนโลยีในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราสามารถขยายโครงการเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น ช่วยลดการเผาป่า สร้างรายได้ชุมชน แพลตฟอร์มของไทยคนนับเป็นเทคโนโลยีแรกในอาเซียนที่นำดาวเทียมมาใช้งาน
สำหรับราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยที่กรมสรรพสามิตรประกาศที่ 200 บาทต่อตันนั้น หากเทียบกับราคาที่เวที The World Economic Forum กำหนดไว้ที่ 85 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถือว่าเป็นราคาที่บอกไม่ได้ว่าราคาไหนถูกต้อง เพราะมีการคาดการณ์ว่าการกำหนดราคาในอนาคตนั้นจะกำหนดตามการพัฒนาของประเทศ คือ ประเทศด้อยพัฒนา กำลังพัฒนา และพัฒนาแล้ว
โดยเชื่อว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีราคาสูงกว่าเพราะประเทศพัฒนาแล้วย่อมมีการปล่อยคาร์บอนเครดิตสู่โลกมากกว่า ส่วนตัวมองว่า ไม่ใช่ประเด็นเพราะสิ่งสำคัญคือคนกลางที่ขายคาร์บอนเครดิตจะนำเงินคืนให้ชุมชนได้มากน้อยแค่ไหน มีการกดราคาหรือไม่