“อินเดีย” ใช้ “ChatGPT” มากที่สุด - “ไทย” มีสัดส่วนผู้ใช้ 14%

“อินเดีย” ใช้ “ChatGPT” มากที่สุด - “ไทย” มีสัดส่วนผู้ใช้ 14%

เปิดข้อมูล ประเทศไหนใช้ ChatGPT มากสุด พบ “อินเดีย” ใช้เยอะสุดในสัดส่วนเกือบ 50% เหตุเป็นแหล่งเทคโนโลยี บริษัทไอทีจำนวนมาก ส่วน “ไทย” มีสัดส่วนผู้ใช้ 14%

โอเพ่น เอไอ (OpenAI) เปิดตัว แชตจีพีที (ChatGPT) มาเกือบสองปีเต็มแล้ว ช่วยจุดประกายการปฏิวัติ AI เชิงสร้างสรรค์ ผู้บริโภคเข้าแถวรอใช้ ChatGPT กันอย่างล้นหลาม นับเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันด้าน AI ระหว่างบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างน้อย 3 แห่ง

อินเดีย ใช้แชตจีพีที ในสัดส่วนมากสุด

บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) สำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลก หรือ “CCI Global Consumer Sentiment Survey 2023” ต่อการใช้ ChatGPT ข้อมูลพบว่า ประเทศที่มีประชากรอายุน้อย จะมีการใช้ AI มากขึ้น ขณะที่ จากการสำรวจทั้งหมด “อินเดีย” มีสัดส่วนผู้ใช้ ChatGPT สูงสุด หรือประมาณ 45% ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะประเทศนี้มีงานด้าน ไอที จำนวนมาก ซึ่ง ChatGPT อาจเป็นทรัพย์สินที่มีค่า ขณะที่ “ไทย” มีสัดส่วนผู้ใช้ ChatGPT ราว 14%

“อินเดีย” ใช้ “ChatGPT” มากที่สุด - “ไทย” มีสัดส่วนผู้ใช้ 14%

ที่มา : https://www.visualcapitalist.com/

ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งที่ปรากฏในชุดข้อมูลนี้ก็คือ ประเทศที่มีอายุน้อยกว่าตามอายุเฉลี่ยมีแนวโน้มที่จะมีการใช้ ChatGPT สูงกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะประชากรที่อายุน้อยกว่าและเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากกว่า และความสัมพันธ์นี้ยังปรากฏให้เห็นเมื่อพิจารณาถึงวิธีการใช้เครื่องมือ AI ตัวอย่างเช่น ผู้ตอบแบบสำรวจในอินเดียและฟิลิปปินส์ (มีการใช้ ChatGPT สูงกว่า) ใช้ AI เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ช่วยในการวิจัยหรือเป็นผู้ช่วยส่วนตัวเสมือนจริง

ในทางกลับกัน ตามข้อมูลของ BCG ผู้ตอบแบบสำรวจในสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี (มีการใช้ ChatGPT ต่ำกว่า) ส่วนใหญ่จะ “ลองเล่น”

โดยรวมแล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 40% ระบุว่ารู้สึกตื่นเต้นกับ AI โดย 28% มีความขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ และ 29% มีความกังวล

 

ChatGPT เปิดตัวออกมาเมื่อปลายปี 2565 ผู้คนตื่นเต้นมากที่เห็น Generative AI (Gen-AI) ที่สามารถสร้างเนื้อหาต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์ ChatGPT ทำคะแนนสูงในการทดสอบด้าน ไอคิว และทำได้ดีกว่ามนุษย์ในบางงาน ChatGPT นับเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model -LLM)

จากเดิมชื่อ GPT-3.5 สร้างจากอัลกอริทึม ดีป เลิร์นนิ่งที่ซับซ้อน ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่จากหลายแหล่ง หลายภาษาในการเทรนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ GPT-3.5 มีความสามารถภาษาอังกฤษดีทีเดียว ภาษาไทยดีพอใช้

ภาพรวม Gen AI แนวโน้มยังดี

ขณะที่ ภาพรวมของ Generative AI จากข้อมูล "เอคเซนเชอร์" เปิดงานวิจัยล่าสุด พบ Generative AI มีศักยภาพผลักดันมูลค่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เพิ่มขึ้นได้อีก 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับจีดีพีที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.7% ต่อปีในช่วง 15 ปีข้างหน้าหากองค์กรเลือกนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ด้วยความรับผิดชอบในวงกว้าง และให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นหลัก

งานวิจัยของ เอคเซนเชอร์ ชี้ว่า การนำ Gen AI มาใช้อย่างรับผิดชอบ จะช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจมากขึ้นถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Gen AI โดยที่ไม่ได้ลงทุน หรือให้ความสำคัญกับบุคลากรและกระบวนการทำงานอย่างเหมาะสม

ข้อค้นพบสำคัญจากงานวิจัยชิ้นนี้ ได้แก่ 33% ของชั่วโมงทำงานในเอเชียแปซิฟิก จะเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติหรือให้ Generative AI ช่วยทำงานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพ จึงส่งผลกระทบต่อชั่วโมงทำงาน ซึ่งบุคลากรในออสเตรเลียและญี่ปุ่น จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ประมาณ 45% และ 44% ตามลำดับ ตามมาด้วยจีน (33%) และอินเดีย (31%)

ขณะที่ 96% ของผู้บริหารในเอเชียแปซิฟิก ตระหนักดีว่า Gen AI จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่ง 91% ของคนทำงานในภูมิภาคนี้ ระบุว่า มีความพร้อมเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อทำงานร่วมกับ Gen AI อย่างไรก็ดี มีเพียง 4% ของผู้บริหารเท่านั้น ที่ได้เริ่มฝึกทักษะพนักงานในการทำงานร่วมกับ Gen AI อย่างเต็มพิกัด

อีกผลสำรวจที่ออกมาคล้ายกัน คือ 89% ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกมีแผนเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี Gen AI ในปีนี้ แต่ก็มีเพียง 35% ของธุรกิจเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างกำลังคน